โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

หาเงินบริจาค จากการละเมิดผู้ป่วย นักวิจัยถาม สร้างมายาคติ HIV ให้น่ากลัว เป็น ‘อุทาหรณ์’ หรือ ‘แสวงหาผลประโยชน์’

The Momentum

อัพเดต 23 สิงหาคม 2568 เวลา 1.15 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • THE MOMENTUM

40 คือจำนวนรวมล่าสุดของร่างผู้เสียชีวิตที่ถูกพบในวัดพระบาทน้ำพุ ตำบลเขาสามยอด จังหวัดลพบุรี ซึ่งเคยถูกใช้เป็นศูนย์กลางการดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ตั้งแต่ปี 2535 โดยศพจำนวนมากถูกดองเอาไว้ในตู้ บ้างถูกห่อด้วยผ้า บ้างไม่ได้ห่อ บางศพมีรายละเอียดส่วนตัวของผู้ป่วยระบุเอาไว้

เจ้าหน้าที่ของวัดอ้างว่า ศพที่ถูกดองเอาไว้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นวิทยาทานและข้อเตือนใจไม่ให้ชาวบ้าน ‘พลาดพลั้ง’ เหมือนบุคคลเหล่านี้ แต่ปลัดเทศบาลเมืองเขาสามยอดเปิดเผยว่า ตามหลักกฎหมาย การดองศพไม่สามารถทำได้

ภาพผู้ป่วยเอดส์นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในสภาพซูบผอม ภายในวัดพระบาทน้ำพุถูกนำเสนอบ่อยครั้งผ่านสื่อช่องทางต่างๆ อาจทำให้ผู้เห็นเกิดความรู้สึกสะเทือนใจและความรู้สึกสงสาร จนกลายเป็นภาพที่ใช้เชิญชวนให้ผู้ใจบุญร่วมทำบุญ ด้วยการบริจาคเงินเข้ามาในวัดเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วย ขณะเดียวกันผู้ป่วยโรคเอดส์บางส่วนก็เดินทางเข้ามายังวัดพระบาทน้ำพุเพื่อเข้ารับการรักษา

ปัจจุบันผู้ที่ตรวจพบเชื้อ HIV หรือผู้ป่วยโรคเอดส์ สามารถรักษาได้ตามโรงพยาบาลของรัฐมาตั้งแต่ปี 2548 และครอบคลุมอยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม และด้วยวิทยาการทางการแพทย์ปัจจุบันที่ก้าวหน้าในด้านการรักษา ทำให้ผู้ติดเชื้อ HIV ที่เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องมีโอกาสที่จะกลับไปใช้ชีวิตปกติ

แล้วภาพความน่ากลัวของการติดเชื้อ HIV และโรคเอดส์ มีความจำเป็นหรือไม่ในการรักษาผู้ป่วย The Momentum พูดคุยกับ อภิวัฒน์ กวางแก้วรองประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV /เอดส์ ประเทศไทย มองพฤติการณ์และ ‘ความจำเป็น’ ในการนำเสนอภาพของผู้ป่วยเอดส์ในวัดพระบาทน้ำพุว่า สร้างผลกระทบอย่างไรกับ ‘มุมมอง’ สังคม และการเข้าถึงผู้ป่วย HIV และผู้ป่วยเอดส์

การแพร่ภาพที่สร้างความหวาดกลัวต่อผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยโรคเอดส์ อภิวัฒน์ระบุว่า เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 40 ปีก่อน เนื่องจากยารักษามีราคาแพง ผู้ป่วยโรคเอดส์จึงเจอกับปัญหาเข้าไม่ถึงการรักษา หลายคนเสียชีวิต จึงเกิดการส่งผู้ป่วยไปยังสถานสงเคราะห์หรือวัดด้วยความไม่รู้และไม่เข้าใจ ทำให้ครอบครัวต้องพลัดพรากจากกัน และทำให้ผู้ป่วยตายแบบเป็นใบไม้ร่วง จึงเกิดแนวคิดว่า เป็นเอดส์ = เสียชีวิต

“กระทรวงสาธารณสุขในช่วงเวลานั้นจึงมีแนวคิดควบคุมและจัดการโรค ด้วยภาพที่สร้างความหวาดกลัว เอาแนวคิดการมั่วเพศ มั่วเข็มเท่ากับติดเอดส์แน่นอน เป็นเอดส์รักษาไม่ได้ เป็นเอดส์ตายอย่างเดียวโยนเข้ามาในสังคม เชื่อมโยงไปถึงเรื่องเวรกรรม ซึ่งส่งผลกระทบกับผู้ติดเชื้อ ทั้งยังมีการเอาภาพความน่ากลัวเหล่านี้มาขอเงินบริจาค เพราะมองว่าเป็นสถานการณ์ที่ต้องช่วยเหลือกัน”

อภิวัฒน์กล่าวต่อว่า เมื่อผู้ป่วยส่วนหนึ่งถูกส่งมายังสถานสงเคราะห์หรือวัด จึงมีการนำเสนอภาพความน่ากลัวของผู้ที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ด้วยเช่นกัน กรณีของวัดพระบาทน้ำพุเป็นพฤติการณ์ที่อภิวัฒน์มองว่า อาจมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น ‘อุทาหรณ์’ ว่า HIV เป็นสิ่งที่เลวร้าย หรือเพื่อ ‘แสวงหาผลประโยชน์’

“อาจเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กล่าวมา หรือทั้ง 2 วัตถุประสงค์รวมกัน หรืออาจไม่ใช่ทั้ง 2 วัตถุประสงค์ก็ได้ ซึ่งหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง”

จากกรณีภาพผู้ป่วยเอดส์ที่ถูกเผยแพร่ อภิวัฒน์มองว่า เป็นการ ‘ละเมิดสิทธิผู้ป่วย’ นอกจากนี้การนำร่างของผู้ป่วยเอดส์ที่เสียชีวิตมาดองและจัดแสดงเอาไว้ภายในวัดพระบาทน้ำพุยังเป็นพฤติการณ์ที่ ‘ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์’

“การสตัฟฟ์ศพและเขียนป้ายว่าผู้ตายคือใคร เช่น Sex Worker เป็นผู้ใช้ยา ซึ่งเป็นการสื่อสารเชิงลบที่คล้ายกับสถานการณ์เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ในขณะที่ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ยิ่งเป็นการตอกย้ำการตีตราทำให้คนเข้าใจผิดกับผู้ติดเชื้อที่จะไปใช้ชีวิต ไปทำงาน ไปเรียนทำให้เขาเกิดอุปสรรค เพราะยังมีภาพนี้อยู่ในสังคม”

รองประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV /เอดส์ ประเทศไทย เน้นย้ำว่า แม้สถานการณ์ของผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยเอดส์ในวันนี้จะแตกต่างจากเมื่อ 40 ปีก่อน เพราะสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันทีเมื่อตรวจพบเชื้อ HIV และมีระบบการรักษาที่ก้าวหน้าจนผู้ป่วยมีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่การนำเสนอภาพของผู้ป่วยเอดส์ที่สร้างความหวาดกลัวยังคงมีอยู่ และสร้างผลกระทบในแง่ลบมากกว่าแง่บวก กับความพยายามในการยุติการระบาดของโรคเอดส์

“แน่นอนว่ามันมีปัญหากับการทำงาน เพื่อยุติการระบาดของโรคเอดส์ของเครือข่ายฯ ของเรา คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่า เป็นแล้วรักษาไม่ได้ต้องตาย ต้องไปอยู่ตามสถานสงเคราะห์ที่ต่างๆ ซึ่งมันทำให้เขาเข้าไม่ถึงการรักษาอีก

“แม้เขาจะมีสิทธิประโยชน์ในระบบการรักษาอยู่แล้ว แต่ก็เข้าระบบรักษาไม่ได้เพราะความกลัว ความไม่เข้าใจ สิ่งเหล่านี้มันยังคงรบกวนผู้ป่วยอยู่

“ท้ายที่สุดการตีตราและการถูกเลือกปฏิบัติก็จะเกิดขึ้น จะไปเรียนก็ต้องตรวจ HIV จะไปหางานทำก็ต้องมีการขอตรวจ HIV ยังไม่รวมการเอาเรื่องความเจ็บป่วยไปผูกโยงกับเรื่องของเวรกรรมอีก สังคมได้รับผลกระทบแน่นอน หากยังนำเสนอภาพความน่ากลัวอยู่” อภิวัฒน์ระบุ

เมื่อถามว่า วัดจะเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมการยุติการระบาดของโรคเอดส์ได้อย่างไร รองประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV /เอดส์ ประเทศไทย ชี้ว่า วัดต้องยกเลิกภารกิจในลักษณะที่ทำอยู่อย่างเช่นการนำเสนอภาพของผู้ป่วยที่สร้างความหวาดกลัว และเริ่มสื่อสารเพื่อ ‘สร้างความเข้าใจ’ “เพราะหากยังปล่อยให้เกิดความไม่เข้าใจและความหวาดกลัวต่อผู้ป่วยตลบอบอวลอยู่แบบนี้ จนเกิดการเลือกปฏิบัติจากความรังเกียจ แม้จะมีวัดอีกกี่วัดก็ไม่เพียงพอที่จะดูแลพวกเขา ถ้าเราไม่ทำให้เขากลับไปใช้ชีวิตได้อย่างเท่าเทียม”

อภิวัฒน์ชี้ว่า ปัจจุบันระบบการดูแลผู้ป่วย HIV และเอดส์นั้นครอบคลุมทุกสิทธิการรักษาพยาบาล สามารถใช้ได้ตั้งแต่การตรวจหาเชื้อ HIV เมื่อตรวจพบก็สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการรับยาต้านไวรัสกับสถานพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้เขายังเน้นย้ำว่า เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง จะทำให้ปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดต่ำกว่า200 Copies ต่อซีซีของเลือด (หน่วยวัดปริมาณเชื้อไวรัส HIV ในเลือด) ซึ่งจะตรวจหาไม่เจอ ผู้ป่วยจึงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติแม้กระทั่งการมีชีวิตคู่ “ผู้ป่วยควรได้รับการสนับสนุนให้ได้ใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน”

อภิวัฒน์กล่าวทิ้งท้ายว่า “เอดส์รักษาได้ตั้งนานแล้ว และไม่ควรถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือของการสื่อสารในเชิงลบ คนที่ติดเชื้อแต่ได้รับการรักษาแล้ว เขาต้องไปทำงาน เขายังต้องไปเรียน เขาต้องไปลูกมีครอบครัว ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป สิ่งที่สำคัญคือหน่วยงานของรัฐต้องออกมาทำหน้าที่แอ็กชันแข็งแรงมากกว่านั้น เช่น จากนี้ไปประเทศไทยจะไม่มีการบังคับตรวจ HIV ก่อนเข้าทำงานแล้วนะ ไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชน หากใครอยากจะรู้ว่า ตัวเองมีเชื้อหรือเปล่า ก็ต้องส่งเสริมให้เขารู้สถานะของตัวเอง เดี๋ยวนี้ชุดตรวจมี สิทธิประโยชน์มี ไม่มีผลกระทบใดๆ กับการทำงานก็ต้องพูดเรื่องนี้ออกมาชัดๆ ต้องแข็งแรงมากกว่านี้ ”

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก The Momentum

จับสัญญาณคืนดี ‘จีน-เกาหลีใต้’ คาด สี จิ้นผิง อาจเลิกแบน K-Pop หลัง Kep1er เตรียมแสดงคอนเสิร์ตใหญ่

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ฉลอง 8 ปี Ginza Tenharu BKK พร้อมเมนูและผลงานศิลปะสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

‘นิพิฏฐ์’ โพสต์สะเทือนใจ ‘พ่อจ๋า เราแพ้แล้ว’

ไทยโพสต์

เปลี่ยนประธาน กมธ.สภาฯ 9 คณะ เพื่อไทย-ประชาชน เดินเกมดันคนรุ่นใหม่นั่งแทน

The Better

คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ลงพื้นที่บ้านหนองจาน สำรวจหมู่บ้านเขมรรุกล้ำอธิปไตยไทย

ไทยโพสต์

"กองทัพบก"สรุปผลประชุมRBC ไทย - กัมพูชา สมัยวิสามัญ

สยามรัฐ

รู้สึกช้า! หมอวรงค์ เผยถูก ‘ภูมิธรรม’ ฟ้องหมิ่นประมาท

ไทยโพสต์

แม่ทัพภาคที่ 1 ชี้แจงข้อสงสัย เหตุใดสระแก้ว ทำไมถึงไม่มีเหตุสู้รบกัมพูชา

TNN ช่อง16

ข่าวและบทความยอดนิยม

สมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์แถลงขออภัย พร้อมถอด ‘หลวงพ่ออลงกต’ ออกจากศิษย์เก่าดีเด่น

The Momentum

‘สุชาติ’ ตั้งข้อสังเกต ที่ดิน ‘พระบาทน้ำพุ’ ไม่ได้ถือในนามวัด แต่ใช้ชื่อกรรมการมูลนิธิถือครองหลายพันไร่

The Momentum

‘ถูกทิ้งและตีตรา เสียงสั่งลาสู่ความหวังครั้งใหม่’ คุยกับผู้ใช้ชีวิตร่วมกับเชื้อ HIV

The Momentum
ดูเพิ่ม