โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที

ชนะศึกแต่แพ้สงคราม ? เมื่อสหรัฐฯ All-in ด้าน AI แต่จีนกระจายความเสี่ยงผสาน AI ยึดครอง Real Sector

BT Beartai

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว
ชนะศึกแต่แพ้สงคราม ? เมื่อสหรัฐฯ All-in ด้าน AI แต่จีนกระจายความเสี่ยงผสาน AI ยึดครอง Real Sector

ในสมรภูมิเทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดในศตวรรษนี้ สหรัฐอเมริกาและจีนต่างขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่ง โดยเฉพาะในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สหรัฐฯ ทุ่มงบประมาณมหาศาลกว่า 3.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะพุ่งสูงถึง 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีหน้า ซึ่งทิ้งห่างจีนที่ลงทุนในด้านนี้เพียง 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างขาดลอย

ดูเผิน ๆ สหรัฐฯ อาจเหมือนผู้ชนะที่นอนมาในเกมนี้ แต่ความจริงอาจซับซ้อนกว่านั้น เพราะในขณะที่สหรัฐฯ ทุ่มหมดหน้าตักไปกับ AI จีนกลับเลือกเดินเกมที่ต่างออกไป ด้วยการกระจายทรัพยากรไปยึดครองตลาดอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่จับต้องได้อย่าง ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ และพลังงานสะอาดอย่างอื่นแทน

มุมมองต่อการพัฒนา AI ที่ไม่เหมือนกันแต่แรก

จีนเคยย้ำว่า AI ถือเป็นความสำคัญหลักในการพัฒนาเชิงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และอยากเป็นผู้นำด้าน AI ภายในปี 2030 ด้วยซ้ำ แต่ในความหมายนี้อาจจะไม่ได้หมายถึงการพัฒนา AI อย่างเดียว เพราะทางฝั่งนักเศรษฐศาสตร์ของจีนมองว่า AI เปรียบเสมือน ‘เครื่องมือ’ ในการสร้าง ‘Superintelligence’ คือ AI จะถูกนำมาพัฒนาคุณภาพการผลิตสินค้าและบริการควบคู่กับการครองตลาดอื่นเช่น รถไฟฟ้า แผงโซลาร์ และแบตเตอรี่ มากกว่าการพัฒนาเครื่องมือ AI โดด ๆ แบบที่สหรัฐฯ เลือกทุ่มทุน

มาในฝั่งของสหรัฐฯ ที่มองว่า การที่สหรัฐฯ ทุ่มงบกว่า 3.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ไม่ใช่เพียงเพื่อสร้าง Chatbot ที่เก่งขึ้น หรือหารายได้จากการโฆษณาเท่านั้น แต่ลึกลงไปในซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley) มันคือการเดิมพันด้วยความเชื่อระดับจิตวิญญาณที่มองว่า AI คือทางรอดเดียวของมนุษยชาติ

ความเสี่ยงของสหรัฐฯ ที่จีนอาจจะมองว่าไม่คุ้ม

ตอนนี้เรากำลังเห็นว่าสหรัฐฯ มอง AI เป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดด ซึ่งก็เป็น AI ประเภทที่เราเห็นว่ามันจะเข้ามาแทนที่อาชีพของมนุษย์อย่างที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ เพราะเขาต้องการสร้าง AI ให้เป็นเทพจริง ๆ นั่นคือเป้าหมายหลักอยู่แล้ว แต่ในกรณีที่ AI ไม่สามารถสร้างผลกำไรหรือเปลี่ยนแปลงโลกได้ตามที่โฆษณาไว้ สหรัฐฯ จะไม่มีแผนสำรอง เพราะได้ลดการสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐานและพลังงานสะอาดลง (ภายใต้นโยบายตัดงบพลังงานสะอาดของโดนัลด์ ทรัมป์ล่าสุด)

ดังนั้นหากมองในมุมนี้ จีนเลือกที่จะกระจายการลงทุนอย่างระมัดระวัง มากกว่าเอาชนะในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง โดยจีนกระจายความเสี่ยงไว้หลายทาง หาก AI สะดุด จีนก็ยังมีรากฐานอุตสาหกรรมพลังงานและเทคโนโลยีการผลิตที่แข็งแกร่งรองรับ

สรุปได้ว่า ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังหลงระเริงกับกับดักของเทคโนโลยี จนอาจละเลยรากฐานอื่น ๆ ทางเศรษฐกิจ จีนกำลังวางกลยุทธ์ที่เน้นความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างยั่งยืนมากกว่า โดยใช้ AI เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อเชื่อมโยงและเสริมแกร่งให้อุตสาหกรรมหลักที่ตนครองตลาดอยู่แล้วอย่างรถไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...