สรุปภาษีธุรกิจปั๊มน้ำมัน เจ้าของกิจการต้องรู้ก่อนเริ่มลงทุน
สำหรับผู้ที่วางแผนจะลงทุนเปิดกิจการปั๊มน้ำมัน สิ่งสำคัญลำดับแรกที่ควรคำนึงถึงคือ การจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคล เนื่องจากธุรกิจปั๊มน้ำมันเป็นกิจการที่ใช้เงินลงทุนสูง มีรายรับ-รายจ่ายหมุนเวียนจำนวนมาก การดำเนินธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลจึงมีความเหมาะสม ทั้งในด้านของความน่าเชื่อถือ การบริหารจัดการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านภาษี
เมื่อดำเนินการในรูปแบบ "บริษัท" หรือ "ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" ผู้ประกอบการจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราไม่เกิน 20% ของกำไรสุทธิ และยังได้รับสิทธิยกเว้นภาษีสำหรับรายได้ 300,000 บาทแรก ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับการประกอบธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา
นอกจากนี้การดำเนินธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลยังช่วยให้การจัดทำบัญชีและการวางระบบภาษีมีความถูกต้องและเป็นระเบียบมากขึ้น เพราะจำเป็นต้องมีนักบัญชีที่มีคุณสมบัติตามกฎหมายเข้ามาดูแลเรื่องงบการเงินและการเสียภาษีอย่างรอบคอบ ลดความเสี่ยงในการทำผิดพลาด
รายได้-รายจ่ายของปั๊มน้ำมัน มีผลต่อภาษีอย่างไร?
ธุรกิจปั๊มน้ำมันถือเป็นกิจการที่มีทั้งรายได้และรายจ่ายหมุนเวียนจำนวนมากจากหลายแหล่ง ซึ่งล้วนส่งผลต่อการคำนวณภาษีในแต่ละปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในกรณีที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เจ้าของกิจการจำเป็นต้องจัดทำบัญชีและงบการเงินให้ครบถ้วนและถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมสรรพากร
ดังนั้นมาดูรายละเอียดของรายได้และรายจ่ายที่มีผลต่อภาษีของปั๊มน้ำมันกัน
รายได้หลักของธุรกิจปั๊มน้ำมัน
- รายได้จากการขายน้ำมันและก๊าซเชื้อเพลิง
- น้ำมันเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ
- ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
- ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (NGV)
- รายได้จากธุรกิจเสริมภายในพื้นที่ปั๊ม อาจเป็นกิจการที่ดำเนินการเอง หรือให้ผู้อื่นเช่าพื้นที่ เช่น
- มินิมาร์ทหรือซูเปอร์มาร์เก็ต
- ร้านกาแฟหรือร้านอาหาร
- ร้านขายน้ำมันหล่อลื่นและบริการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
- ร้านขายอะไหล่ ไส้กรอง หรืออุปกรณ์รถยนต์
- บริการล้างรถ อัดฉีด
- ร้านปะยางและเปลี่ยนยาง
- การให้เช่าที่จอดรถ หรือให้เช่าพื้นที่ขายของ
- รายได้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
รายจ่ายหลักของกิจการปั๊มน้ำมัน
เพื่อบริหารกิจการให้ดำเนินไปได้ เจ้าของกิจการจะมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ เช่น
- ค่าวัตถุดิบ เช่น ค่าน้ำมันและก๊าซ
- ค่าแรงพนักงาน ค่าจ้าง และสวัสดิการ
- ค่าเช่าอาคารหรือพื้นที่
- ค่าบำรุงรักษาและซ่อมแซม
- ค่าการตลาด และค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขาย
- ค่าประกันภัย
- ค่าเสื่อมราคาทรัพย์สิน
- ดอกเบี้ยเงินกู้
- ค่าที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญ
- ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์
- ค่าขนส่งสินค้าและบริการ
- และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามจริง
ทั้งนี้รายได้และรายจ่ายทั้งหมดของธุรกิจปั๊มน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นรายได้หลักจากการขายน้ำมันหรือรายได้เสริมจากธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ต้องถูกจัดทำบัญชีและงบการเงินอย่างครบถ้วนตามหลักการบัญชีที่ถูกต้อง เพื่อใช้ประกอบการคำนวณภาษีที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษี มูลค่าเพิ่ม หรือภาษีธุรกิจเฉพาะ
โดยสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องใส่ใจ เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมั่นคงและโปร่งใสทางภาษี
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นภาษีที่จัดเก็บจากรายได้ของกิจการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีหน้าที่ต้องคำนวณภาษีจากกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชี โดยใช้อัตราภาษีสูงสุดที่ 20% ซึ่งการยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลแบ่งออกเป็น 2 รอบหลัก ได้แก่
• การยื่นภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) ต้องดำเนินการภายใน 2 เดือนหลังจากสิ้นสุด 6 เดือนแรกของรอบบัญชี
• การยื่นภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.50) ต้องยื่นภายใน 150 วันนับจากวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี
ผู้ประกอบการสามารถยื่นแบบและชำระภาษีได้ทั้งทางสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือผ่านระบบออนไลน์ของกรมสรรพากร บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat)
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) คือภาษีที่จัดเก็บจากมูลค่าส่วนเพิ่มของสินค้าและบริการในแต่ละขั้นตอนการซื้อขาย หากกิจการมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT ภายใน 30 วัน
สำหรับปั๊มน้ำมัน ถือเป็นสถานประกอบการขายสินค้ารายย่อย หากขายน้ำมันไม่เกินครั้งละ 1,000 บาท ไม่ต้องออกใบกำกับภาษี เว้นแต่ลูกค้าร้องขอ
คุณสมบัติของปั๊มน้ำมันที่เข้าข่ายขายรายย่อย ได้แก่
• ไม่ใช้เครื่องบันทึกเงินสดหรือระบบคอมพิวเตอร์รับชำระ
• มีถังเก็บน้ำมันใต้ดินขนาด 5,000 ลิตรขึ้นไป
• ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรว่าเป็นการขายรายย่อยแก่บุคคลจำนวนมาก
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย คือภาษีที่ผู้จ่ายเงินต้องหักไว้ก่อนจ่ายค่าตอบแทน แล้วนำส่งกรมสรรพากรตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งแตกต่างกันตามประเภทรายจ่าย ดังนี้
• เงินเดือน ค่าจ้าง : 0%
• จ้างงาน/จ้างบริการทั่วไป : 0%
• วิชาชีพอิสระ : 3%
• รับเหมา/ทำของ : 3%
• ค่าเช่า : 5%
• ค่าโฆษณา : 2%
• ค่าขนส่ง : 1%
เมื่อหักภาษีแล้ว ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.3 หรือ ภ.ง.ด.53 ภายในวันที่ 7–15 ของเดือนถัดไป
สรุป…นอกจากภาษีหลักที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังอาจต้องเสียภาษีอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันควรทราบ ได้แก่ ภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในกรณีที่มีการปล่อยเงินกู้และคิดดอกเบี้ยในลักษณะคล้ายธนาคาร ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หากมีการนำพื้นที่ภายในปั๊มไปให้เช่าหรือใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ อากรแสตมป์จากการทำสัญญาเช่าที่ดินหรือทรัพย์สิน และภาษีป้ายในกรณีที่มีการติดตั้งป้ายชื่อ โลโก้ หรือป้ายโฆษณาภายในพื้นที่ปั๊มน้ำมัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นภาษีที่อาจเกิดขึ้นตามลักษณะการดำเนินธุรกิจ
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source: Inflow Accounting