เปิดที่มาแผน "จักรพงษ์ภูวนาถ" ยุทธศาสต์ตอบโต้กัมพูชาล่าสุด
แผน "จักรพงษ์ภูวนาถ" กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่กองทัพไทยสั่งการให้กำลังกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 และกำลังส่วนต่าง ๆ เตรียมพร้อมปฏิบัติตามแผน "จักรพงษ์ภูวนาถ" เมื่อสั่ง
โดยสาเหตุมาจากเหตุการณ์ที่กำลังพลของกองทัพบกจาก ชุดลาดตระเวน กองพันทหารราบที่ 14 ประสบกับทุ่นระเบิดบริเวณห้วยบอน ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นแนวพื้นที่ปฏิบัติงานตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา
ทำให้ทหารบาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 5 นาย โดย 1 นาย ขาขวาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบกับระเบิด และอีก 4 นายมีอาการแน่นหน้าอก หูอื้อ จากแรงสั่นสะเทือนของแรงระเบิด ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรับการรักษาอย่างเร่งด่วน ณ โรงพยาบาลน้ำยืน
โดยรายละเอียกของแผน "จักรพงษ์ภูวนาถ" นั้น “ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีการนำเสนอไปแล้ว
อย่างไรก็ดี ประเด็นที่สำคัญนอกเหนือไปกว่านั้นก็คือ แผน "จักรพงษ์ภูวนาถ" มีที่มาที่ไปอย่างไร ผู้ใดเป็นผู้คิดแผนขึ้นมา
จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า "ปฏิบัติการจักรพงษ์ภูวนารถ" ไม่ใช่เพียงแผนการทางทหารที่เพิ่งถูกคิดค้นขึ้น แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างละเอียดรอบคอบ เปี่ยมด้วย ภูมิปัญญาทางทหารที่ลึกซึ้ง โดยแผน จักรพงษ์ภูวนาถถูกคิดค้นและเขียนขึ้นโดย พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ หรือ "บิ๊กแก้ว" อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดไทย
เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธการทหารบก พล.อ.เฉลิมพล ได้รับการยอมรับในฐานะนายทหารม้า ผู้เติบโตในสายหน่วยรบและสายอำนวยการ ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางแผนยุทธการต่าง ๆ
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ปฏิบัติการนี้ได้สร้างคุณูปการอันมหาศาลให้กับกองทัพไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ความขัดแย้งบริเวณเขาพระวิหารเมื่อปี 2554
ปฏิบัติการจักรพงษ์ภูวนารถ ได้นำไปสู่การตอบโต้ที่เด็ดขาด รุนแรง และไร้ความปรานี จนกองทัพกัมพูชาประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับ ราบเป็นหน้ากลอง และต้องยุติการเผชิญหน้ากับกองทัพไทยไปเกือบ 10 ปี
ชัยชนะครั้งดังกล่าวนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการปกป้องอธิปไตย แต่ยังเป็นการ ตอกย้ำถึงแสนยานุภาพที่น่าเกรงขามของกองทัพไทย ที่สามารถสยบภัยคุกคามได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
การที่แผนยุทธศาสตร์สำคัญนี้ได้รับพระนาม "จักรพงษ์ภูวนาถ" มาจากพระนามของ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 43 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) และทรงเป็นพระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)
พระองค์ทรงได้รับการศึกษาด้านการทหารในประเทศรัสเซีย และได้แสดงพระปรีชาสามารถโดดเด่นจนได้รับเกียรติจารึกพระนามบนแผ่นหินอ่อนในโรงเรียนนายร้อยมหาดเล็ก จากการสอบได้เป็นอันดับ 1 เมื่อเสด็จกลับประเทศไทย พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง เช่น เสนาธิการทหารบก และทรงเป็นผู้ริเริ่มและวางรากฐานการศึกษาด้านการทหารผ่านการจัดตั้ง โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
ที่สำคัญที่สุดคือ พระกรณียกิจด้านการบิน พระองค์ทรงตระหนักถึงความสำคัญของกำลังทางอากาศในการป้องกันประเทศ หลังได้ทอดพระเนตรการแสดงการบินครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2453 ทรงริเริ่มจัดตั้งแผนกการบินในกองทัพบกในปี พ.ศ. 2454 โดยส่งนายทหาร 3 นาย ได้แก่
- นายพันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ ผู้บังคับกองพันพิเศษ กองพลที่ 5
- นายร้อยเอก หลวงอาวุธสิขิกร ผู้รั้งผู้บังคับกองพันพิเศษ กองพลที่ 9
- นายร้อยโท ทิพย์ เกตุทัต ผู้บังคับกองร้อยที่ 2 โรงเรียนนายร้อยชั้น 75 มัธยม
ไปศึกษาวิชาการบินที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งต่อมาทั้ง 3 ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น "บุพการีทหารอากาศ" หลังจากนั้นได้พัฒนาเป็นกองบินทหารบกในปี พ.ศ.2457 และเติบโตเป็นกองทัพอากาศในปัจจุบัน
ด้วยคุณูปการอันใหญ่หลวงนี้ กองทัพอากาศไทยจึงได้ยกย่องถวายพระเกียรติพระองค์ไว้ว่าเป็น "พระบิดาแห่งกองทัพอากาศไทย" ดังนั้น การตั้งชื่อแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการปกป้องอธิปไตยตามพระนามของพระองค์ จึงเป็นการเชิดชูพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและพระปรีชาสามารถในการทหาร
แผน "จักรพงษ์ภูวนาถ" เป็นมากกว่าแผนการทางทหาร แต่คือพิมพ์เขียวทางยุทธศาสตร์ที่หยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์และวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้นำในอดีต เช่นเดียวกับ หมากรุกที่ต้องมีแผนการที่คิดมาอย่างดีเพื่อปกป้องราชาและอาณาจักร แผนนี้ก็เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องประเทศไทยจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ ด้วยความพร้อมที่จะถูกนำมาใช้เพื่อรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของชาติอยู่เสมอ
ที่มา : เอกสาร Naming Practice of Royal Thai Army Camps in Context of Political Symbolism Wanwichit Boonprong 2013, พระดำริในการจัดการศึกษาฝ่ายทหารของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิศณุโลกประชานาถ โดย ปียนาถ บุนนาค ภาคีสมาชิก สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสถาน, วารสารข่าวทหารอากาศ Air Force ปีที่ 79 ฉบับที่ 6 เดือน มิ.ย.62, Wikipedia