แผนของจีนในช่วงเวลา 90 วันของการสงบศึกทางการค้ากับสหรัฐฯ
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/08/chinas-playbook-for-90-day-trade-truce-with-us/)
China’s playbook for 90-day trade truce with US
by Jeff Pao
14/08/2025
ปักกิ่งกำลังส่งเสริมสนับสนุนให้พวกบริษัทอุตสาหกรรมการผลิตโยกย้ายไปอยู่ต่างแดน เวลาเดียวกันก็กำลังตัดลดเงินเดือนของพวกคนงานโรงงานภายในประเทศลงมาโดยหลายกรณีหั่นกันถึงครึ่งหนึ่งทีเดียว
สหรัฐฯกับจีนขยายเวลาข้อตกลงสงบศึกทางการค้าของพวกเขาออกไปอีก 90 วันเมื่อวันอังคารที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา การหยุดยิงในสงครามการค้าเช่นนี้ทำให้แต่ละฝ่ายมีเวลามากขึ้นในการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานของพวกเขาเสียใหม่ สำหรับรับมือในกรณีที่การเจรจาซึ่งจะต้องตกลงกันให้ได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ต้องมีอันพังครืนลง
หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งฝายบริหารเมื่อวันจันทร์ (11 ส.ค.) ขยายกำหนดเส้นตายของการบังคับใช้ภาษีศุลกากรอัตราสูงขึ้นเอากับจีนไปจนกระทั่งถึงวันที่ 10 พฤศจิกายนแล้ว ทางกระทรวงพาณิชย์จีนก็ออกคำแถลงต่างตอบแทนซึ่งกล่าวว่า แดนมังกรจะหยุดพักการเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าสหรัฐฯด้วยอัตราสูงขึ้นไปอีก 90 วันเหมือนกัน
ทั้งสองฝ่ายต่างระบุว่าพวกเขายังคงการเรียกเก็บภาษีศุลกากรอัตรา 10% เอากับสินค้าของกันและกันต่อไปอีก (ทางฝ่ายสหรัฐฯนั้นเรียกภาษีส่วนนี้ว่า ภาษีศุลกากรพื้นฐาน baseline tariffs โดยที่เรียกเก็บจากชาติคู่ค้าแทบทุกราย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Tariffs_in_the_second_Trump_administration ขณะที่ฝ่ายจีนเก็บภาษีส่วนนี้จากสินค้าสหรัฐฯในลักษณะเป็นมาตรการตอบโต้แก้เผ็ด)
นอกจากนั้นแล้ว ในส่วนสหรัฐฯ จะยังคงเก็บภาษีศุลกากรอัตรา 20% จากสินค้าจีนตามมาตรการที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับที่วอชิงตันกล่าวหาว่าปักกิ่งไม่ได้ดำเนินการปราบปรามขัดขวางไม่ให้ยาเสพติดเฟนตานิล (Fentanyl) ถูกลักลอบนำเข้าสู่สหรัฐฯอย่างจริงจัง รวมทั้งยังคงบังคับเก็บภาษีศุลกากรอัตราระหว่าง 7% ถึง 25% กับสินค้าแดนมังกร ซึ่งเป็นมาตรการที่ได้บังคับใช้เรื่อยมาตั้งแต่คราวสงครามการค้าปี 2019 ในยุคทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ดังนั้น จึงหมายความว่าพวกผู้ผลิตสินค้าจีนยังต้องจ่ายภาษีศุลกากรรวมแล้วอาจจะสูงถึง 55% ทีเดียว สำหรับสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ
ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์จีนก็ออกมาแถลงเพิ่มเติมในวันอังคาร (12 ส.ค.) ว่า แดนมังกรจะขยายระยะเวลาผ่อนผันออกไปอีก 90 วัน ในการบังคับใช้มาตรการตาม กลไกการดำเนินการตามบัญชีรายชื่อกิจการและตัวบุคคลที่เชื่อถือไม่ได้ (Unreliable Entity List Working Mechanism) ที่ประกาศออกมาในวันที่ 4 เมษายน รวมทั้งผ่อนผันการใช้มาตรการทำนองเดียวกันซึ่งประกาศออกมาในวันที่ 9 เมษายน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 และ 9 เมษายน กระทรวงพาณิชย์จีนได้เพิ่มรายชื่อกิจการและตัวบุคคลสหรัฐฯจำนวน 17 รายเข้าไปในบัญชีรายชื่อกิจการและตัวบุคคลที่เชื่อถือไม่ได้ ซึ่งมีผลเป็นการห้ามไม่ให้พวกเขาเข้าร่วมในกิจกรรมการนำเข้าและการส่งออกที่เกี่ยวข้องกับประเทศจีน ตลอดจนห้ามไม่ให้พวกเขาทำการลงทุนใหม่ๆ ในแดนมังกร ก่อนหน้านั้นไปอีก คือตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 มกราคม ทางกระทรวงได้ใส่ชื่อบริษัทสหรัฐฯ 28 แห่งเข้าไปในบัญชีรายชื่อกิจการและตัวบุคคลที่ถูกควบคุมการส่งออก ซึ่งเป็นการห้ามการส่งออกข้าวของที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้ง 2 ทาง (dual-use) นั่นคือทั้งทางพลเรือนและทางทหาร ไปยังบริษัทเหล่านี้ โดยข้าวของต้องห้ามนี้ก็รวมไปถึงพวกแร่ธาตุหายากที่ทรงความสำคัญอย่างยิ่งยวดด้วย
การขยายเวลาบังคับใช้ข้อตกลงสงบศึกทางการค้าออกไปคราวนี้ อันที่จริงก็เป็นสิ่งที่ได้รับคาดหมายกันมาก่อน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สกอตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) พูดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมว่า มีโอกาสสูงที่ทั้งสองฝ่ายจะต่ออายุไปอีก 90 วัน โดยที่สำหรับฝ่ายสหรัฐฯนั้นจะขึ้นกับการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากทรัมป์
“จีนก็เหมือนกับเกมหมากรุกที่จะต้องมีการเล่นกันในหลายๆ ระดับ ตามประเพณีปฏิบัติที่ผ่านๆ มาในอดีตของเรานั้น พวกคู่แข่งทางเศรษฐกิจรายใหญ่ที่สุดของเรา จะเป็นพวกพันธมิตรของเราด้วย” เบสเซนต์บอกกับทีวีฟ็อกซ์นิวส์ (Fox News) ในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันอังคาร (12 ส.ค.) แต่ในเวลานี้ “จีนเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจรายใหญ่ที่สุดของเรา แต่ก็เป็นคู่แข่งทางการทหารรายใหญ่ที่สุดของเราเช่นกัน ดังนั้น ตรงนี้เราจึงกำลังหาทางแก้ไขคลี่คลายตัวแปรต่างๆ เป็นจำนวนมาก สิ่งที่เรากำลังพยายามทำอยู่ก็คือทำให้มีการค้าทวิภาคี ที่มีความสมดุลมากยิ่งขึ้น”
เขากล่าวต่อไปว่า พวกนักสังเกตการณ์ภายนอกส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่า จีนมีระบบเศรษฐกิจที่ไร้ความสมดุลมากที่สุดในโลกยุคสมัยใหม่ โดยมีความแข็งแกร่งมากๆ ในเรื่องอุตสาหกรรมการผลิตแทนที่จะเป็นการบริโภคภายในประเทศ เขาบอกว่าพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯและจีนจะเจรจาหารือกันเกี่ยวกับความไม่สมดุลนี้ในช่วงหลายๆ เดือนต่อจากนี้ไป
เขากล่าวด้วยว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้เชื้อเชิญทรัมป์ให้ไปเยือนจีน และทรัมป์ก็ได้แสดงความปรารถนาที่จะพบปะกับสี อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการยืนยันใดๆ เกี่ยวกับการพบปะกันของผู้นำสองรายนี้
เบสเซนต์บอกว่า ถึงแม้จีนได้กลับมาจัดส่งแม่เหล็กแรร์เอิร์ธให้สหรัฐฯอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่รัฐบาลสหรัฐฯก็มีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาแหล่งแร่แรร์เอิร์ธจากที่อื่นๆ ทั้งด้วยการลงทุนในเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ เมาน์เทนแพสส์ (Mountain Pass rare earth mine ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นสถานที่ทำเหมืองและแปรรูปแรร์เอิร์ธที่ยังคงดำเนินงานอยู่เพียงแห่งเดียวในสหรัฐฯ) และการทำงานกับพวกบริษัทขนาดเล็กกว่า 6-7 แห่ง
ยุทธศาสตร์ของปักกิ่ง
ตั้งแต่ที่ ทรัมป์ ประกาศใช้ภาษีศุลกากรต่างตอบแทน (reciprocal tariffs) เอากับประเทศคู่ค้าหลายสิบรายเมื่อวันที่ 2 เมษายนเป็นต้นมา ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีนก็เพิ่มสูงขึ้น หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น สหรัฐฯประกาศเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 145% เอากับสินค้าจีน ขณะที่จีนก็ตอบโต้ด้วยอัตราภาษีศุลกากร 125% เอากับสินค้าสหรัฐฯ
หลังจากคณะเจ้าหน้าที่จากทั้งสองฝ่ายพบปะกันที่เมืองเจนีวา เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม, ที่กรุงลอนดอนระหว่างวันที่ 6-9 มิถุนายน และที่กรุงสต็อกโฮล์มวันที่ 28-29 กรกฎาคม จีนกับสหรัฐฯก็สามารถตกลงกันได้ที่จะยับยั้งและลดทอนไม่ให้สถานการณ์ความขัดแย้งขยายตัวบานปลายออกไป ซึ่งทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกพากันแสดงปฏิกิริยาตอบรับในทางบวก
“ระหว่างที่เกิดสงครามภาษีศุลกากรในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ผลสำเร็จใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นก็คือทั้งจีนและสหรัฐฯต่างมีการสร้างความกระจ่างชัดเจนในเรื่องความต้องการของแต่ละฝ่าย และเรื่องที่แต่ละฝ่ายถือว่าสำคัญที่สุด” ซ่ง กั๋วโหย่ว (Song Guoyou) รองผู้อำนวยการของศูนย์เพื่ออเมริกาศึกษา มหาวิทยาลัยฝู่ตั้น (Center for American Studies, Fudan University) กล่าวให้ความเห็นขณะให้สัมภาษณ์โกลบอลไทมส์ (Global Times) สื่อในเครือพรรคคอมมิวนิสต์จีน
“เรื่องนี้ได้อำนวยความสะดวกให้แก่การติดต่อสื่อสารกันระหว่างสองฝ่ายในการมุ่งหน้าไปสู่การควบคุมความขัดแย้งนี้” เขากล่าว
ทางด้าน เหลียว ชูผิง (Liao Shuping) นักวิจัยอาวุโสแห่งสถาบันวิจัยธนาคารแบงก์ออฟไชน่า (Bank of China Research Institute) บอกว่า “หลังจากเจรจากันมา 3 รอบ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ได้มีการผ่อนคลายลงชั่วคราว” แต่เขาชี้ด้วยว่า “ถึงแม้การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯแสดงสัญญาณของการฟื้นตัว ทว่ายังคงเผชิญกับแรงกดดันให้ลงต่ำอยู่ดี”
เหลียว บอกว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าสหรัฐฯบรรลุข้อตกลงกับพวกชาติคู่ค้าหลายรายในช่วงหลังๆ นี้ โดยที่สามารถขึ้นอัตราภาษีศุลกากรและจำกัดการส่งออกซ้ำ (re-exports) ของประเทศเหล่านี้ จะเป็นการสร้างแรงกดดันใหม่ๆ ต่อการส่งออกของจีนไปยังพวกตลาดซึ่งอยู่นอกสหรัฐฯ
เป็นต้นว่า เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม สหรัฐฯกับเวียดนามบรรลุข้อตกลงการค้าซึ่งมีการระบุว่า สหรัฐฯจะคิดภาษีศุลกากรอัตรา 20% เอากับสินค้านำเข้าจากเวียดนาม แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ถูกระบุว่าเป็นสินค้า “ขนถ่ายข้ามเรือ” (transshipped) นั่นคือขนถ่ายจากเรือลำหนึ่งไปยังเรืออีกลำหนึ่ง เพื่อส่งไปยังสหรัฐฯแล้ว ก็จะถูกขังคับให้ต้องจ่ายภาษีศุลกากรอัตรา 40% ทั้งนี้ มีรายงานหลายกระแสจากเวียดนามที่บ่งชี้ด้วยว่า ในการตกลงทำดีลทางการค้าของพวกเขา หลักเกณฑ์ซึ่งสหรัฐฯใช้สำหรับการพิจารณว่าเป็นสินค้าขนถ่ายข้ามเรือหรือไม่นั้น ยังไม่มีความชัดเจนแต่อย่างใด
ช่วงไม่กี่ปีหลังๆ มานี้ เวียดนามคือทางเลือกอันดับสูงสุดสำหรับการโยกย้ายโรงงานออกจากจีนมาตั้งในสถานที่ใหม่ๆ สำหรับพวกบริษัทอุตสาหกรรมการผลิตของจีนทั้งหลาย กิจการอุตสาหกรรมการผลิตจีนเหล่านี้จัดส่งสินค้าของพวกเขาจากประเทศจีนไปยังเวียดนาม เพื่อ “การลบล้างแหล่งกำเนิดสินค้า” (origin washing) นั่นคือเพียงแค่เปลี่ยนตราประทับที่สินค้ามาเป็น “เมดอินเวียดนาม” จากนั้นก็ขนถ่ายลงเรือส่งไปยังสหรัฐฯ บางรายอาจจะมีการจัดตั้งโรงงานประกอบขึ้นมาในเวียดนาม ทว่าชิ้นส่วนต่างๆ เกินกว่าครึ่งยังคงมาจากประเทศจีน
หลิว เย่ (Liu Yue) รองผู้อำนวยของบัณฑิตยสภาการวิจัยทางเศรษฐกิจมหภาคแห่งประเทศจีน (China’s Academy of Macroeconomic Research หรือ AMR) และ หยวน เฉียน (Yuan Qian) นักวิจัยผู้หนึ่งของ AMR ร่วมกันเขียนบทความที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ซึ่งระบุว่า จีนกำลังส่งเสริมสนับสนุนบริษัทอุตสาหกรรมการผลิตให้โยกย้ายโรงงานไปตั้งในต่างแดน
พวกเขาระบุว่า การโยกย้ายที่ตั้งเช่นนี้ควรเป็นไปอย่างมีคุณภาพสูง ซึ่งหมายความว่าบริษัทอุตสาหกรรมการผลิตเหล่านี้ควรใช้กำลังแรงงานที่เป็นคนท้องถิ่น, มีความเข้าใจตลาดท้องถิ่น, และทำการลงทุนในด้านการวิจัยและการพัฒนา พวกเขาบอกอีกว่ากลุ่มวิชาชีพและสมาคมอุตสาหกรรมทั้งหลายก็ควรสนับสนุนบริษัทต่างๆ ให้ไปตั้งโรงงานในต่างแดน
ปรากฏว่าบรรดาสื่อมวลชนภาครัฐของจีนได้เผยแพร่บทความชิ้นนี้กันอย่างกว้างขวาง
เจิ้ง อี้จิว์น (Zheng Yijun) ผู้จัดการใหญ่ของกิจการโลจิสติกส์แห่งหนึ่งที่ตั้งฐานอยู่ในนครฉงชิ่ง บอกกับสถานีทีวีฟินิกซ์ (Phoenix TV) ของทางการจีนว่า เมื่อตอนที่สหรัฐฯประกาศเก็บภาษีศุลกากรอัตรา 145% เอากับสินค้านำเข้าจีนนั้น พวกบริษัทอุตสาหกรรมการผลิตจีนจำนวนมากพากันเร่งรัดแผนการของพวกเขาในการโยกย้ายไปเวียดนาม ทำให้เกิดความต้องการใหม่ๆด้านโลจิสติกส์ที่จะมาใช้บริการจากบริษัทของเขา
“ถึงแม้ภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐฯเวลานี้ที่เก็บจากสินค้าจีนได้ลงมาอยู่ที่ 10% แต่จริงๆ แล้วพวกผู้ส่งออกก็ยังต้องจ่ายภาษีอัตราสูงขึ้นไปเป็น 30-45% อยู่ดี” เขาบอก และกล่าวเพิ่มเติมว่า ความต้องการทางด้านโลจิสติกส์ของพวกกิจการจีนในการจัดส่งข้าวของไปยังเวียดนามตอนนี้ยังคงคึกคักแข็งแรงมาก
คอลัมนิสต์ซึ่งตั้งฐานอยู่ในมณฑลกวางตุ้งผู้หนึ่งบอกว่า พวกบริษัทอุตสาหกรรมการผลิตจีนจำนวนมาก กำลังพยายามลดพนักงานและค่าจ้างแรงงาน ขณะที่พวกเขาต้องโยกย้ายออกไปอยู่นอกประเทศจีน หรือไม่เช่นนั้นก็ได้รับใบสั่งซื้อลดน้อยลงกว่าเมื่อก่อน
เขาบอกว่าคนงานจำนวนมากถูกตัดเงินเดือนลงถึงครึ่งหนึ่งเหลือเพียงเดือนละ 3,000 หยวน (ราว 13,500 บาท) ขณะที่พวกบริษัทอุตสาหกรรมการผลิตจีนจำนวนมากโยกย้ายโรงงานไปตั้งในต่างแดน คอลัมนิสต์ผู้นี้ชี้ว่า การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ด้วยเงินเดือนที่ต่ำลงมากเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ยากลำบากไม่ใช่เล่นๆ เลย
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO