"รมช.ศึกษาธิการ" เคลื่อนไหวแล้ว ปม นักเรียน ทำร้ายครู ยับ
ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึง กรณีเหตุการณ์นักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุทัยธานี ใช้ความรุนแรงต่อครูผู้สอนตามที่ปรากฎในสื่อสารมวลชน โดยกล่าวยืนยันอย่างชัดเจนว่า ความรุนแรงต่อบุคลากรทางการศึกษาเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในทุกกรณี
ดร.ลิณธิภรณ์ ได้แสดงความห่วงใยไปยังทั้งคุณครูผู้เสียหายและนักเรียนที่เกี่ยวข้อง พร้อมเน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหานี้ ไม่ใช่การชี้ว่าฝ่ายใดผิดแล้วลงโทษ แต่จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบด้านว่าพฤติกรรมเช่นนี้เกิดจากสาเหตุใด
ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ จะประสานให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยละเอียด เพื่อค้นหาสาเหตุเชิงลึก ไม่ว่าจะเป็นภาวะความเครียด ความกดดันจากผลการเรียน หรือภาวะอื่น ๆ แม้จะเป็นโรงเรียนของเอกชน ก็ควรมีการพิจรณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบและเห็นว่าจำเป็นต้องมีนักจิตวิทยาเข้าไปดูแลนักเรียนโดยเร็ว เพื่อป้องกันผลกระทบทางจิตใจต่อครู นักเรียน และผู้ปกครอง ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ถูกเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง
ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่ออีกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนโจทย์สำคัญที่อาจต้องนำมาพิจารณาต้องทบทวนดังนี้
1. ระบบการสอบและการวัดประเมินผล – หากระบบการเรียนการสอนสร้างแรงกดดันจนทำให้เด็กใช้ความรุนแรง แสดงว่าเราจำเป็นต้องทบทวนว่ากำลังสร้างทรัพยากรมนุษย์แบบใดสู่สังคม การวัดประเมิน ทดสอบแบบ one’s size fit all ใช้ไม้บรรทัดเดียวกับเด็กทุกคน การเอาปลาไปแข่งปีนต้นไม้ เอานกไปว่ายน้ำอาจจะต้องเปลี่ยน
2. การดูแลสุขภาพจิตของนักเรียน – ระบบการศึกษาของเราอาจยังละเลยเรื่องนี้อย่างมาก นักเรียนบางคนใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น บางคนใช้ความรุนแรงกับตนเอง ซึ่งสะท้อนการขาดทักษะในการรับรู้และจัดการอารมณ์ของตนเอง (Mental Health Literacy) จนสะท้อนตัวเลขอย่างชัดเจนโดยกรมสุขภาพจิต ว่าเด็กและเยาวชนมีสภาวะซึมเซาและวิตกกังวลเพิ่มสูงขึ้น และการฆ่าตัวตายในเด็กกลายเป็น สาหตุของการเสียชีวิตอันดับที่ 3 ในสาเหตุการตายของเด็กและเยาวชน ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับนักเรียน ครูบางคนก็ประสบเช่นเดียวกันเราจึกเห๋นความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากครูไม่น้อย เราควรทำให้การสร้างทักษะด้านนี้อยู่ในระบบการศึกษาอย่างจริงจัง รวมถึงการนำแม้ทางกระทรวงศึกษาจะ มีการดำเนินโครงการ school health hero และOBEC CARE เพื่อช่วยเหลือบรรเทาเบื้องต้น แต่ความร่วมมือก็ยังไม่ได้กว้างขว้าง โดยการพิจารณา นำไปใช้โรงเรียนเอกชนร่วมด้วย ดังนั้นการพิจารณา ความช่วยเหลือของทีมสหวิชาชีพไม่ว่าจะเป็นนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เข้าสู่ระบบการศึกษาอย่างครบวงจร จึงควรเกิดขึ้นในส่วนนี้หรือไม่
3. ประเด็นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) – การเผยแพร่คลิปเหตุการณ์อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสภาพจิตใจของทั้งครูและนักเรียน และยังเสี่ยงต่อการผลิตซ้ำความรุนแรงในสังคม สื่อและประชาชนควรตระหนักและเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้เกี่ยวข้อง
“ดิฉันเชื่อว่าไม่มีเด็กคนใดอยากทำร้ายผู้อื่น การตัดสินจากภาพเพียงไม่กี่วินาทีอาจไม่สะท้อนความจริงทั้งหมด เราทุกฝ่ายต้องร่วมกันหาทางออกเชิงระบบ ทั้งในด้านการเรียนการสอน การดูแลสุขภาพจิต และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในสถานศึกษา“ ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าว