เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

ทันหุ้น – บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ ภาพรวม SET Index ดูดีขึ้นเล็กน้อยหลังไม่หลุดต่ำกว่าแนวรับ 1,230 จุด และสามารถพลิกมายืนเหนือเส้น EMA 200 วัน 1,240 จุดได้อีกครั้ง โดยวันนี้ติดตามการประชุมพรรคประชาชน หากได้ข้อสรุปเรื่องการเลือกนายกฯว่าจะสนับสนุนพรรคใดก่อนเปิดสภาฯเลือกนายกฯวันที่ 3-5 ก.ย. มีโอกาสหนุนดัชนีทยอยฟื้นตัวต่อหากรอบ 1,250-1,260 จุด ส่วนกรณีมีมติไม่เลือกฝั่งใดเลยอาจกดดันตลาดระยะสั้นจากภาพการเมืองที่ยังไม่คลี่คลาย เราประเมินว่าหากได้ตัวนายกฯ และครม.ใหม่เร็ว และไม่ยืดเยื้อจะเป็นบวกกับดัชนีในระยะสั้น-กลาง

ขณะที่งบประมาณปี 69 จะเข้าพิจารณาชั้นสว.เดือนนี้ ซึ่งคาดไม่มีปัญหาและช่วยปิดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจได้หนึ่งประเด็น ส่วนปัจจัยต่างประเทศตลาดยังคงรอติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯปลายสัปดาห์ จะเป็นอีกปัจจัยชี้นำให้ตลาดประเมินโอกาสและความเร็วในการปรับลดดอกเบี้ยของ FED โดยหากออกมาใกล้เคียงคาดหรือชะลอเล็กน้อย คาดตลาดจะมองบวกและยังสนับสนุนการลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่หากออกมาต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยยะ (ตลาดคาดราว 8 หมื่นตำแหน่ง) มีโอกาสที่อาจทำให้ตลาด Risk Off เราประเมิน Upside ของดัชนีปีนี้ยังไม่กว้างเทียบกับ SET target 1,290 จุด กลุ่ม Domestic Play ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสินค้าจำเป็นและได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยที่ต่ำลง เช่น ไฟแนนซ์ โรงไฟฟ้า เทคโนโลยี ค้าปลีก REIT เป็นต้น คาดว่าจะปรับตัวได้ดีกว่าตลาด

กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2H25 ที่ยังแข็งแรงท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอ
หุ้นเด่นเดือน ก.ย. : CPN, ICHI, MTC, STECON, SYNEX
FSSIA Portfolio : BA, BDMS, CENTEL, CPALL, ICHI, KBANK, MTC, STECON

หุ้นเด่นวันนี้ : CPALL
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 65 บาท
• เราคาดโมเมนตัมกำไร 3Q25 แม้อาจชะลอ q-q ตามปัจจัยฤดูกาลเนื่องจากเป็นหน้าฝน แต่คาดยังสามารถเติบโต y-y ได้ ด้าน SSSG เดือน ก.ค.-ส.ค. ล่าสุดยังทรงตัว y-y แต่ยังได้แรงหนุนจาก Margin ที่ยังแข็งแกร่งจากสัดส่วนสินค้าอาหารพร้อมทานที่ยังเพิ่มขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นมีกลยุทธ์ควบคุมที่ดีและได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง
• เรายังคาดกำไรปี 2025 ที่ 2.85 หมื่นลบ. เติบโตแข็งแกร่ง +12% y-y และเชื่อว่าไม่มี Downside จากกำไร 1H25 ที่ทำได้ 51% ของประมาณการทั้งปี ด้าน Valuation ยังไม่แพง เทรด PER เพียง 14 เท่า
• แนวรับ 44-43.50 บาท แนวต้าน 46//48-48.50 บาท

ด้าน บล.ดาโอ คาดว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้ ตลาดยังผันผวน จากการเมืองไทยที่กำลังอยู่ในช่วงของการชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บทจบยังไม่ชัดเจนว่าเป็นแบบใด แม้ตลาดหุ้นเมื่อวานนี้(1 ก.ย.) จะมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามา แต่หากเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น ยุบสภาฯ ก่อนได้ตัวนายกฯ อาจกลายเป็นตัวฉุดตลาดหุ้นได้ ขณะที่แรงขายหุ้นในตลาดเอเซียยังหนาตา ยกเว้นตลาดหุ้นจีนที่ฟื้นต้วต่อเนื่อง

ปัจจัยต่างประเทศ

• ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการในวันจันทร์ เนื่องในวันแรงงาน แต่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทรงตัว ขณะที่ตลาดยุโรปปรับขึ้นเล็กน้อย นำโดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ แต่ยังคงมีความกังวลต่อความเสี่ยงทางการเมืองในฝรั่งเศส
• ติดตามท่าที ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ หลังศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีมติ 7 ต่อ 4 ระบุว่าไม่ใช่อำนาจของทรัมป์ในการเรียกเก็บภาษีเหล่านั้น และการขึ้นภาษีศุลกากรทั่วโลกส่วนใหญ่นั้นผิดกฎหมาย ทั้งนี้ศาลฯ ยังอนุญาตให้บังคับใช้มาตรการภาษีต่อได้จนถึง 14 ต.ค. 68 เพื่อให้รัฐบาลทรัมป์ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาคดี …. หากมีการยกเลิกภาษีจะเป็นผลดีต่อประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ แต่ช่วงระหว่างนี้นักลงทุนจะกังวลกับความไม่แน่นอน ดอลล่าร์และทองคำ อาจขยับขึ้นในฐานะที่เป็น safe haven จนกว่าตลาดจะลดความกังวลลง
• การเจรจาระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ ยังไม่คืบหน้า แต่การประชุมทวิภาคี ระหว่างผู้นำอินเดียและรัสเซีย ที่ประเทศจีนในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ผู้นำของอินเดีย ได้ประกาศย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ “พิเศษ” กับรัสเซียในระหว่างการพบปะทวิภาคีกับประธานาธิบดี ปูติน ซึ่งเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนในการต่อสู้กับสหรัฐฯ
• Fund Flow : วันนี้ กระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ยังไหลออกจากตลาดเอเซีย (วานนี้ net buy ที่ไทยประเทศเดียว) นักลงทุนติดตามเรื่องการเจรจาการค้าสหรัฐฯ รวมถึงท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์หลังศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ระบุการบังคับใช้มาตรการภาษีผิดหลักกฎหมาย
• การชุมนุมที่อินโดนีเซีย ล่าสุดผู้ว่าประท้องประกาศยกเลิกชุมนุม เนื่องจากการปราบปรามทวีความรุนแรงมากขึ้น … ดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ร่วงลงถึง 3.6% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบเกือบ 5 เดือน โดยหุ้นกลุ่มการเงินรวมถึง PT Bank Rakyat Indonesia เป็นตัวฉุดตลาด
• Mislav Matejka นักยุทธศาสตร์ของ JPMorgan แนะนำว่า “ถึงเวลาที่ต้องเข้าซื้อแล้ว” โดยอ้างถึงการฟื้นตัวของหุ้นจีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญสำหรับภาคส่วนต่างๆ ของยุโรป เช่น การทำเหมือง ผู้ผลิตรถยนต์ และสินค้าฟุ่มเฟือย หุ้นในยูโรโซนมีศักยภาพที่จะทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นในสหรัฐฯ ในช่วงหนึ่งถึงสองเดือนข้างหน้า … …โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่าดัชนี Stoxx Europe 600 จะเพิ่มขึ้น 2% เป็นประมาณ 560 จุดภายในสิ้นปี 2025 โดยได้แรงหนุนจากแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้น และการกระจายความเสี่ยงจากหุ้นสหรัฐฯ

ปัจจัยในประเทศ :

• การเมือง : ติดตามการโหวตเลือกนายกฯ 3-5 ก.ย. นี้ ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย ผลออกมาเป็นได้ทั้งทางบวกและทางลบ …. อย่างไรก็ตาม มีข่าวปรากฎตามสื่อว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยได้มีการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ ณ ปัจจุบันแล้ว โดยมีการเสนอทางออกจาก “นายภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำพรรคในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี” โดยคิดว่าจะมีการ “ยุบสภา” เพื่อเปิดทางให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ เพราะรัฐบาลจะต้องรักษาการต่อไปอีก 2 เดือน… เราประเมินว่า หากพรรคประชาชนไม่เลือกพรรคเพื่อไทย และมีการยุบสภาฯจริง จะเป็นลบกับตลาดหุ้น เนื่องจากจะเกิดภาวะสูญญากาศทางการเมืองขึ้น ดัชนีฯ อาจเข้าใกล้ 1200 จุด ได้ ถ้ามีการชิงยุบสภาฯ ก่อนเวลาอันควร
• วันนี้ หุ้น SCB ขึ้น “XD” จ่ายปันผลที่ 2.00 บาท/หุ้น ส่วน KBANK@2.00 บาท/หุ้น, KKP@1.50 บาท/หุ้น และ BBL@2.00 บาท/หุ้น จะขึ้น “XD” พร้อมกัน 10 ก.ย.
• Event วันนี้ : การประชุมครม., US-ISM Manufacturing งวด ส.ค.; (คาดการณ์: 48.7, ครั้งก่อน: 48.0)

Technical : BCH, KAMART

ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,230 – 1,240 แนวต้าน 1,250 – 1,260 คาดดัชนีผันผวนรอมติของพรรคประชาชนว่าจะสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อไทยในการโหวตนายก ฯ ใหม่ รวมถึงยังมีทางเลือกของการยุบสภา ฯ หากไม่สามารถสรรหานายก ฯ ใหม่ ดังนั้นจึงแนะนำทยอยซื้อาหุ้นกลุ่มปลอดภัย เช่น GULF, GPSC,BH, CPF และกลุ่มที่จ่ายเงินปันผลสูง เช่น SCB, kBANB, TISCO, ICHI, SIRI, PTTEP / กลุ่มค้าปลีก & โฆษณา เช่น CPALL,CRC,HMPRO,DOHOME,PLANB จะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินที่หมุนเวียนในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

PRM* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 9.30 บาท) จากการประชุมนักวิเคราะห์ แนวโน้มผลประกอบการ 3Q68 คาดกำไรปกติดีขึ้น QoQ, YoY เนื่องจากจำนวนเรื่อที่เพิ่มขึ้นใน 1H68 โดยเรือ FSU ลำใหม่ที่รับมาจะให้บริการได้เต็มไตรมาส ด้วย Utilization rate และอัตราค่าเช่าที่สูง ส่วนแนวโน้ม 4Q68 กำไรอาจจะลดลง QoQ เนื่องจากมีเรือ VLCC ที่เข้า Dry Dock แต่จะโต YoY ได้ตามกำลังการให้บริการที่เพิ่มขึ้น โดยธุรกิจ OSV มีปัจจัยหนุนจากเรือ Crew Boat ที่ทำสัญญากับลูกค้ารายใหม่ในเดือน ต.ค.และ ธ.ค.ส่วนแผนการลงทุนในการจัดกาเรือใหม่เพื่อทดแทนเรื่อที่มีอายุมาก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและได้อัตราค่าเช่าสูงขึ้น และสนใจลงทุนในเรือ Anchor Handling Tug ที่สนับสนุนกิจกรรมการสำรวจปิโตรเลียมซึ่งมีค่าบริการที่สูง ทั้งนี้ในปี 68-69 ตลาดคาดการณ์กำไรที่ 2.4 พันล้านบาท (+14%YoY) และ 2.5 พันล้านบาท (+3%YoY) valuation ไม่แพงด้วย PER’25 ที่ 6.7 เท่า และ Div.Yield 8%

ITC* (ซื้อเก็งกำไร/ ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 16.37 บาท) กำไรสุทธิ 2Q68 อยู่ที่ 696 ลบ.(-31%YoY, +3%QoQ) QoQ มีแรงหนุนในเชิง Volume ตามฤดูกาลและต้นทุนปลาทูน่าที่ปรับลดลง แต่ YoY กดดันจากรายได้ที่อ่อนตามบาทที่แข็งค่า, Product Mix ที่มีสัดส่วนสินค้าPremium ลดลง, และค่าใช้จ่ายที่ปรึกษา อย่างไรก็ตาม ปัจจัยกดดันอย่างภาษีทรัมป์มีความเสี่ยงลดลง ขณะที่ 3Q68 คาดว่าว่ารายได้ยังอยู่ในทิศทางที่ดีต่อจากยังเป็นฤดูกาลขาย มูลค่าการส่งออกของไทยก.ค.68(หน่วย usd) อาหารสุนัขและแมว +9%YoY, +14%MoM ปัจจุบัน ตลาดคาดว่าในปี68 และ 69 กำไรสุทธิของ ITC* จะอยู่ที่3,065 ลบ.(-15%YoY) และ 3,375 ลบ.(+10%YoY)