SET Index ทดสอบ PE 14 เท่า จับตาผลประกอบการ-เศรษฐกิจครึ่งปีหลังชะลอ นักลงทุนระวังเทคนิคอล
SET Index ทดสอบ PE 14 เท่า จับตาผลประกอบการ-เศรษฐกิจครึ่งปีหลังชะลอ นักลงทุนระวังเทคนิคอล
วันที่ 8 ส.ค.68 ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 224 จุด (-0.5%) นักลงทุนกลับมาขายทำกำไรหลังดัชนีปรับขึ้นแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้านี้ พร้อมกับแรงกดดันหุ้น ELI Lilly ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.69% หลังจากทำเนียบขาวระบุว่าผู้นำรัสเซียและสหรัฐฯเตรียมจะพบปะกัน
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯประกาศผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.26 แสนรายเร่งขึ้นเล็กน้อยจากคาดการณ์ของ Bloomberg Consensus ที่ 2.21 แสนรายและเร่งขึ้นจากสัปดาห์ก่อนที่ 2.19 แสนราย โดยรวมยังไม่เห็นผลกระทบอย่างมีนัยยะต่อสินทรัพย์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯหรือ Dollar เพราะทั้งสองสินทรัพย์ค่อนข้างนิ่งๆ แต่แนวโน้มใหญ่ยังปรับลง สะท้อนความมั่นใจที่น้อยลงของสหรัฐฯจากความคิดของนักลงทุน โดย Focus นักลงทุนในช่วงนี้ไปให้น้ำหนักกับผลประกอบการที่ทยอยประกาศ อย่างวานนี้หุ้น Eli Lilly ปรับลง 14% หลังมีรายงานว่ายาลดความอ้วนของบริษัทให้ประสิทธิภาพที่ต่ำกว่านักลงทุนคาดไว้
ด้านปัจจัยในประเทศเมื่อวานที่ผ่านมามหาวิทยาลัยหอการค้าไทยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือน ก.ค. ที่ระดับ 51.7 ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 6 ต่ำสุดในรอบ 31 เดือน สาเหตุหลักที่ผู้บริโภคกังวลมาจากเสถียรภาพของรัฐบาล การเมืองของไทย รวมไปถึงสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 ตลอดจนสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยรวมแล้วทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเริ่มดูสอดคล้องกับตลาดหุ้นไทยที่วานนี้จากปรับขึ้นไปบวกได้มากถึง 1.29% พบว่าปรับลงมาปิดบวกเพียง 0.05% และนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาขายสุทธิเล็กน้อย 297 ล้านบาท จากช่วงก่อนหน้าที่มักเห็นการซื้อสุทธิหลักพันล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามยังเห็นการเปิด Long ในตลาด TFEX ราว 7.6 พันล้านบาท (Sentiment เชิงบวก) แต่ทั้งนี้ด้วยระดับ PE ตลาดหุ้นไทยที่ปรับขึ้นมา 14x เริ่มไม่ค่อยถูกเท่าใดนัก (ไม่ควรประมาทกับการลงทุน) คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญต้องติดตามโดยสัปดาห์หน้ารอดูประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินอาจเห็นการลดดอกเบี้ย ด้วยเงินเฟ้อที่ต่ำผสานกับเศรษฐกิจขยายตัวต่ำและเงินบาทแข็งค่า
วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1250 – 1270 การเคลื่อนไหวน่าจะเริ่มจำกัดจากระดับ Valuation ที่ตึงตัวประกอบกับ Price In ปัจจัยหนุนต่างๆไปพอสมควรแล้วผสานกับทิศทางเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังอาจขยายตัวต่ำกว่า 1H25 สร้างแรงกดดันต่อการลงทุน ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนอาจเลือก Take Profit บางส่วนสำหรับนักลงทุนที่ BUY จากข้างล่างขึ้นมา (ปรับขึ้นมาร่วม 19%) แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนระยะสั้นเน้น Trading อาจเลือกเก็งกำไรในหุ้นที่ยังปรับขึ้นน้อยและเป็นหุ้นขนาดใหญ่ อาทิ CPALL KTC CPF KTB BBL MINT BJC รวมไปถึง Theme ดอกเบี้ยปรับลง อาทิ MTC SAWAD TIDLOR นิคม AMATA WHA
BJC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 22.50 บาท)
การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ช่วง QTD ของ 3Q25 ที่ -1% YoY เริ่มดูดีขึ้นจาก 2Q25 หลังทำโปรโมชั่น โดยเราคาดว่าโครงการเที่ยวคนละครึ่งจะช่วยหนุนการบริโภคให้ช่วงที่เหลือของไตรมาสให้ดูดีกว่าปีก่อน ระยะสั้นคาดรายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 917 ล้านบาท (-25%YoY) หลังตัดขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน คาดจะมีกำไรปกติ 1.1 พันล้านบาท (-11%YoY, -15%QoQ)
KTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 32.00 บาท)
ผลการดำเนินงานใน 2Q25 ออกมาคาดที่ 1.9 พันล้านบาท (+3.8% YoY, +1.8% QoQ) งบดุลแข็งแกร่ง NPL ratio ลดลงที่ 1.8% เรามองว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้กำลังซื้อลดลง และการปล่อยสินเชื่อใหม่ระมัดระวังสูงขึ้น ส่งผลสินเชื่อขยายตัวจำกัด ดังนั้น คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรได้เพียง 1.5% ในปี 2025-26 อย่างไรก็ดี เราแนะนำ “ซื้อ” จาก (1) Valuation ไม่แพง ซื้อขายที่ PBV’25E ที่ 1.6x
#SETIndex #ตลาดหุ้นไทย #DowJones #หุ้นเด่น #BJC #KTC #เศรษฐกิจไทย #การลงทุน #ตลาดหุ้น2025