‘ภูมิธรรม’ สั่งงดเก็บค่าน้ำ-ค่าไฟใน 4 จังหวัดชายแดน ก.ค.-ส.ค.68
เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกฯ พร้อมด้วย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ พร้อมคณะ ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ในการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ ก่อนให้ประชาชนเดินทางกลับเข้าบ้านเรือน โดยเมื่อเดินทางถึงมี นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วย นายชูชัย มุ่งเจริญพร สส. สุรินทร์เขต 2 พรรคเพื่อไทย มาให้การต้อนรับ
นายภูมิธรรม กล่าวในที่ประชุมว่า การประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัดชายแดน เพื่อทำความเข้าใจและตกลงกันให้ชัด จะดำเนินการต่อจากนี้ไปอย่างไร เนื่องจากภารกิจของเราตามแผนที่จะตกลงกันไว้ คือเป็นผู้พิทักษ์ส่วนหลัง มีหน้าที่ในการที่จะดูแลส่วนหลังให้ดีที่สุด ฉะนั้นการมาวันนี้ เป็นสถานการณ์หลังจาก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม รักษาราชการแทน รมว.กลาโหม ได้ตกลงหยุดยิง ย้ำว่า ขณะนี้เราเชื่อมั่น โดยได้พิจารณากับฝ่ายกองทัพ ว่าน่าจะปลอดภัย ประชาชนสามารถกลับบ้านได้ ตนขอชื่นชมทุกคน ที่พยายามตั้งใจเรียนเต็มที่ และผู้ว่าราชการจังหวัดถือเป็นแม่ทัพหลังในแต่ละจุด จะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่และดีที่สุดเพื่อตอบสนองประชาชน
ขณะที่ นายมาริษ กล่าวกับผู้ว่าราชการจังหวัด ว่า ในส่วนของรัฐบาล มีหน้าที่ที่จะปกป้องอธิปไตยของประเทศ ปกป้องความปลอดภัยของประชาชนชาวไทย ในส่วนของการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ราชการและรัฐบาล รัฐบาลประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานตั้งแต่เริ่มข้อขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นกรอบของกระทรวงการต่างประเทศและทางกองทัพ มีความร่วมมือผลักดันสอดรับซึ่งกันและกัน ทำให้ภาพของประเทศไทยในสายตาสากลดีมาก ไม่มีประเทศใดกล่าวตำหนิการใช้สิทธิในการตอบโต้เพื่อที่จะป้องกันตนเอง
นายมาริษ กล่าวอีกว่า โดยหลังจากเหตุปะทะยุติลง มีหลายองค์กรระหว่างประเทศ ให้ความสำคัญกับสิ่งที่รัฐบาลไทยได้พูด คือเรื่องการให้ความช่วยเหลือ ตนไม่อยากให้ใช้คำว่าแค่มนุษยธรรม เพราะรัฐบาลต้องการที่จะช่วยเหลือประชาชนอยู่แล้ว ฉะนั้นในกลุ่มของต่างประเทศ ทุกประเทศชื่นชมการทำงานของทุกท่าน ซึ่งการที่ทุกภาพส่วนผนึกกำลังกัน และทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยนั้นดีเป็นอย่างมาก
นายภูมิธรรม กล่าวเสริมว่า ไม่ว่าประชาชนจะกลับบ้านแล้ว แต่ปัญหาของประชาชนจะดำเนินยังอยู่ ไม่ใช่ว่าปิดศูนย์แล้วจะจบกัน เยียวยาต่าง ๆ จะต้องลงไปให้ถึงหมู่บ้านทุกหมู่บ้านทันทีโดยเร็ว ไม่มีการหยุด ต้องดำเนินการให้ครบถ้วนตามที่เป็นข้อสั่งการและเป็นกฎหมายของประเทศที่ได้ระบุไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้ข้อมูลว่า จ.ศรีสะเกษ เบิกจ่ายเป็นอันดับ 1 เบิกจ่ายแล้ว 62 ล้านบาท ถือว่ามีประสิทธิภาพ ในส่วนพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี มีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้นจาก 55,000 บาท เป็น 1.5 ล้านบาทแล้ว แต่ก็ยังถือว่าอย่างน้อย จึงขอให้เร่งดำเนินการเบิกจ่ายให้ประชาชน
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ขอบคุณทุกส่วนที่ช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ วันนี้ตนฟังแล้วจังหวัดสุรินทร์ก็ดำเนินการได้ค่อนข้างดี จึงอยากให้เป็นแบบในการทำงานและสามารถคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการช่วยเหลือประชาชน นำประชาชนเป็นศูนย์กลางทำให้ดีที่สุด และอย่างที่บอก เงินที่ให้มาถ้าไปใช้จ่ายให้กับประชาชน ไม่ต้องเหนียม ทำได้อย่างเต็มที่ เพียงแต่ว่าอย่าให้เกิดการรั่วไหลหรือเป็นปัญหา จึงขอให้ทุกคนเข้มงวดดูแลในเรื่องนี้
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ข้อสั่งการในการดำเนินการครั้งนี้ คือ ต้องอำนวยความสะดวกประชาชนกลับบ้าน ส่วนกลางได้ประสานงานขั้นต้นให้กระทรวงคมนาคมโดยการขนส่งทางบก และอีกส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นปัญหากับหน่วยงานในพื้นที่ เราสามารถช่วยเหลือได้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เรามี ก็ให้เร่งดำเนินการ และต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนด้วย ย้ำว่าเงินที่เหลือหากจำเป็นต้องใช้ก็ใช้ เพราะฉะนั้น ผู้ว่าฯ นายอำเภอ จะต้องประสานระดมทรัพยากรมาจัดสรรให้ได้ตามกรอบระเบียบในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมกับประสานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) งดเว้นการเก็บค่าไฟฟ้าและน้ำ 2 เดือน คือเดือน ก.ค.และ ส.ค.2568 ในพื้นที่ประสบภัย ทั้งบ้านเรือนประชาชนและศูนย์อพยพ
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังอยากให้ประสานงานกับอาชีวศึกษา เพื่อเข้ามาสร้างและซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนด้วย พร้อมกับสำรวจอาชีพและการสาธารณสุข ที่แม้จะไม่มากนัก แต่อย่าทอดทิ้ง เนื่องจากมีผู้สูงอายุยังคงเสียขวัญ ขณะเดียวกันการพูดกับต่างประเทศ ต้องมีหลักฐาน ไม่ใช่พูดเลื่อนลอย เหมือนกับต่างประเทศ การเก็บภาพบันทึกจะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ระยะยาว จึงจะต้องรักษาอธิปไตยของเราอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นจึงอยากให้มีการวางแผนบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน พร้อมฝากกระทรวงการต่างประเทศ อย่าให้เกิดสงคราม เพราะหากเกิดสงครามแล้วก็เหนื่อย ไม่มีใครอยากให้เกิด
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องค่าตอบแทน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในครั้งหน้า ที่ทำงาน 6 ชม.ขึ้นไป ไม่ถึง 12 ชม. จ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงตอบแทนวันละ 120 บาท แต่หากเกินจาก 12 ชม.ขึ้นไป เราจ่ายให้เป็นวันละ 240 บาท ซึ่งงบประมาณในการจัดการคำนวณและประมาณ 117 ล้านบาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับ ชรบ. ยอดรวมเท่าที่สำรวจมาข้างต้นใน 7 จังหวัด ชุด ชรบ. มีอยู่ประมาณ 32,740 นาย โดยแหล่งงบประมาณจะจัดหาให้ส่วนกลางเป็นผู้รับผิดชอบ
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์หรือโดรน ที่จะเพิ่มให้มีประสิทธิภาพสูงมากยิ่งขึ้น เราก็พร้อมที่จะอนุมัติให้ เพราะขณะนี้ตนคิดว่าประชาชนทั้งประเทศก็มีความเข้าใจ ไม่ได้คิดว่าจะมาขัดขวางอะไร เพราะฉะนั้นกองทัพเสริมความเข้มแข็งให้ตามความสมควร ที่จะทำให้การปกป้องอธิปไตยได้ดีขึ้น รักษาชีวิตของทหารและประชาชนของเรา ครม. ก็คงไม่มีปัญหาก็ยินดี
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ทุกคำสั่งการหลังจากนี้ไป ขอให้คำนึงถึงอธิปไตยของประเทศเป็นหลักสำคัญ เพราะไม่มีใครยอมให้มาบุกรุกล้ำอธิปไตยของเราได้ และชีวิตทรัพย์สินของประชาชนถือเป็นหัวใจ ตนเป็นผู้ที่ต้องการความสำเร็จเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ความสำเร็จที่มุ่งมั่นในครั้งนี้ เราทำได้เท่ากับเรารักษาชีวิตทรัพย์สินของประชาชนได้อย่างเต็มที่ จึงขอให้ตรงนี้เป็นหัวใจในการแก้ไขปัญหาของประเทศ
นายภูมิธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอสดุดีวีรชนของประเทศ และให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ และขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทยและผู้ประสบปฏิบัติงานในทุกกรมกอง ที่เกี่ยวข้อง มีส่วนช่วยในการพิทักษ์รักษาแผ่นดินชีวิตของประชาชนและอำนวยความสะดวกในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ในวันพรุ่งนี้ (10 ส.ค. 2568) รัฐมนตรีทุกคนจะเข้าพื้นที่หลังจากได้ประกาศสั่งการแล้วดำเนินการแล้ว ยังมีอะไรที่ติดขัดบกพร่องเป็นปัญหาหรือไม่จะได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาฝากกำลังใจให้ความรู้สึกห่วงใยส่วนหลังทั้งหมด ตอนนี้รออีกนิดนึงรอให้แต่ละพื้นที่ดูตามความเป็นจริง ที่ไหนปลอดภัยแล้ว อันไหนที่เป็นปัญหาอุปสรรคจะได้แก้ไขจะได้ส่งประชาชนกลับบ้านอย่างช้าในวันพรุ่งนี้จะได้กลับบ้านทุกคน พร้อมได้ประสานกับกองทัพ ทั้งแม่ทัพภาคที่สอง และแม่ทัพภาคที่หนึ่ง ที่อยู่ในพื้นที่ทั้งหมด ขอประชาชนอดใจรออีกนิด
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นายภูมิธรรม ได้พาคุณยายที่จะเดินทางกลับบ้านวันนี้ พาขึ้นรถของปภ.รวมถึงผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องเคลื่อนบ้ายด้วยรถพยาบาทด้วย
สำหรับพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับในระยะแรก ครอบคลุม 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ หน่วยงานภาครัฐทุกระดับ ทั้งกระทรวงมหาดไทย คมนาคม กลาโหม สาธารณสุข พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) การต่างประเทศ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ร่วมกันเตรียมความพร้อมด้านยานพาหนะ เส้นทางขนส่ง จุดพักระหว่างทาง และสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้ประชาชนเดินทางกลับด้วยความปลอดภัยสูงสุด พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำและดูแลตั้งแต่ศูนย์พักพิงไปจนถึงพื้นที่ปลายทาง