โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

‘มาริษ’ เชื่อรัฐบาลใหม่สานต่อแนวแก้ปม ‘ไทย-กัมพูชา’ ชี้ผู้นำเขมรส่งจม.ยินดี ‘อนุทิน’ หวังฟื้นสัมพันธ์ 2 ประเทศ

เดลินิวส์

อัพเดต 9 กันยายน 2568 เวลา 15.24 น. • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เดลินิวส์
‘มาริษ’ เชื่อรัฐบาลใหม่สานต่อแนวทางแก้ปัญหา ‘ไทย-กัมพูชา’ คาดอีกไม่นานถึงเวลายกระดับสายสัมพันธ์ 2 ประเทศ ชี้ถ้ายกเลิกเอ็มโอยูปี 43 เสี่ยงเขมรใช้อ้างในศาลโลก ชี้นายกฯกัมพูชาส่งจม.ยินดี‘อนุทิน’ หวังฟื้นความสัมพันธ์ อยากเห็นรัฐบาลแก้รัฐธรรมนูญผ่าตัดระบบถ่วงดุล ดึงศักยภาพที่แท้จริงของประเทศ

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวก่อนอำลาตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ว่า รัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้ดำเนินมาตรการหลายประการเพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยอยู่บนพื้นฐานสำคัญของการแก้ไขโดยสันติวิธีและความ ตั้งใจจริงของทั้ง 2 ประเทศ ตามกรอบกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งยึดถือสิ่งสำคัญที่สุดว่าจะต้องไม่สูญเสียอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน ส่วนการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเส้นเขตแดนเป็นเรื่องซับซ้อน และต้องอาศัยการตัดสินใจของรัฐสภาให้เป็นผู้อนุมัติด้วย หลักการเหล่านี้ทำให้รัฐบาลไทย โดยตนและกระทรวงการต่างประเทศได้พยายามเรียกร้องมาตลอดให้กัมพูชามาสู่โต๊ะเจรจา ตามกลไกการเจรจาทวิภาคี ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศภายใต้กรอบขององค์การสหประชาชาติ และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543 ที่กำหนดให้การแก้ปัญหาเรื่องเขตแดน ต้องเจรจาทวิภาคีภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา โดยตนเชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่คงยึดถือแนวทางการเจรจาทวิภาคีเป็นหลัก

นายมาริษ กล่าวอีกว่า ดังนั้น ไทยจึงใช้เอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ปี 2543 กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติมาตลอด ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา แม้ในช่วงต้น เขาปฏิเสธการหารือทวิภาคีเพื่อแก้ไขปัญหา จนกระทั่งมีการ ปะทะกันระหว่างกำลังทหารของทั้ง 2 ประเทศ แต่จากการประสานสอดรับกันอย่างดีระหว่างนโยบายด้านการต่างประเทศและมาตรการทางทหารของฝ่ายไทย จึงประสบความสำเร็จที่สามารถกดดันให้กัมพูชากลับมาสู่การเจรจาทวิภาคีกับไทย เพื่อแก้ปัญหาเขตแดนและการกระทบกระทั่งกัน รวมถึงทำให้ประเทศเราไม่ถูกตำหนิจากประชาคมโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตนถือเป็นความสำเร็จของรัฐบาล

นายมาริษ ยังกล่าวถึงการเดินทางเยือนประเทศสวีเดน เมื่อช่วงปลายเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ที่ได้เป็นไปสักขีพยานในการลงนามจัดซื้อเครื่องบินกริพเพนว่า ตนเองได้มีโอกาสไปยืนยัน และประกาศท่าทีของประเทศไทย ที่เคารพหลักสิทธิมนุษยชน และชี้แจงนโยบายของประเทศไทยในการใช้มาตรการป้องกันตัวเอง และตอบโต้การรุกรานของกัมพูชาที่โจมตีพลเรือนไทย ขณะเดียวกัน เราจำกัดเป้าหมายทางทหาร และไม่โจมตีพลเรือน จึงเป็นจุดสำคัญที่ทำให้รัฐบาลสวีเดนและประเทศอื่นๆ ให้การยอมรับการดำเนินการของไทย จากนั้น ตนได้เยือนนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อพูดคุยกับภาคีสมาชิกอนุสัญญาออตตาวา รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งตนได้แสดงให้ทุกประเทศเห็นว่าไทยยึดมั่นกฎบัตรสหประชาชาติ และอนุสัญญาข้อตกลงต่างๆ จนผู้แทนนานาชาติ อาทิ นอร์เวย์ ออสเตรเลีย เยอรมัน และเบลเยียม เปรู และญี่ปุ่น ชื่นชมไทย และสนับสนุนไทยแก้ปัญหาอย่างสันติ เพื่อสะท้อนการสนับสนุนอนุสัญญาออตตาวา

นายมาริษ ยังยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศไม่เคยนิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และศึกษารายละเอียด ซึ่งตนได้วางยุทธศาสตร์ไว้ในการยืนยันความชอบธรรมของประเทศไทยที่ยึดมั่นเรื่องสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ, หลักการของข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ หรือไอซีอาร์ซี ที่ดูแลให้ประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนซึ่งไทยยึดมั่นต่อมาตลอด ทั้งการป้องกันตนเอง และการไม่โจมตีเป้าหมายทางพลเรือน ยึดมั่นไม่ใช้ทุ่นระเบิดสังหาร ไม่ใช้สงครามข่าวสารบิดเบือน และการไม่ใช้โล่มนุษย์ ซึ่งเป็นข้อกำหนด ที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ได้ออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการใช้สงครามข่าวสารของกัมพูชา ซึ่งเป็นไปตามที่ตนเคยให้สัมภาษณ์ว่า จะไม่ตอบโต้หรือใช้ข่าวสารในช่องทางที่ไม่เป็นทางการ แต่จะใช้กลไกทางการในการชี้แจง ทำให้ประเทศต่างๆ ชื่นชมไทยว่าดำเนินการกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติ รวมถึงกฎบัตรอาเซียน ดังนั้น จึงยืนยันว่า สิ่งเหล่านี้ รัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการมาตลอด โดยเฉพาะหลักการสันติวิธี บูรณภาพแห่งดินแดนและแก้ไขด้วยความตั้งใจจริง จนทำให้หลายประเทศให้การสนับสนุน และเห็นพ้องกับประเทศไทย

นายมาริษ กล่าวอีกว่า ส่วนในอนาคต สิ่งที่อยากจะฝากไว้กับรัฐบาลชุดใหม่ คือ อยากให้รักษาแนวทางการยึดถือสันติวิธี รักษาอำนาจอธิปไตย และการแก้ปัญหาด้วยความจริงใจ รวมถึงต้องเพิ่มช่องทางการพูดคุยทวิภาคีให้มากขึ้น เพื่อกำหนดเส้นเขตแดนให้ชัดเจน และพยายามหารือกันให้มากขึ้น เพื่อรักษาระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้ดียิ่งขึ้น และนำไปสู่การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาที่ไทยและกัมพูชาจะพิจารณา ซึ่งตนเชื่อว่าอีกไม่นานจะถึงจุดที่กัมพูชาต้องตระหนักว่าไทยและกัมพูชาเป็นประเทศที่อยู่ติดกันมาตลอด ประชาชนจะต้องติดต่อกัน และเป้าหมายที่ดีที่สุด คือ การแก้ปัญหาร่วมกันอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เหมือนประเทศอื่น ๆ ที่มีความขัดแย้งระหว่างกัน

“ผมยังอยากเห็นการแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง คือประชาชน ไทย-กัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่มีแนวชายแดนอยู่ร่วมกัน ก็ควรอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ มุ่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ เพื่อประชาชนทั้ง 2 ประเทศ การมีความสัมพันธ์ที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และเป็นหลักประกันในการใช้ชีวิตตามแนวชายแดนของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ผมเชื่อมั่นว่ารัฐบาลใหม่มองประเด็นนี้เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะไทยและกัมพูชายังเป็นประเทศเพื่อนบ้านกัน ดังนั้น การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ เพื่อประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศ เป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งในโลกศตวรรษที่ 21 การพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากประเทศที่ 3 หรือประเทศอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทาน หรือกระบวนการผลิตในปัจจัยต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงผู้บริโภค จึงมีความสำคัญ”นายมาริษ กล่าว

เมื่อถามว่าเรื่องเอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ปี 2543 บางพรรคการเมืองเมื่อเป็นรัฐบาล สนับสนุนให้ยังมีอยู่ แต่เมื่อเป็นฝ่ายค้าน กลับเรียกร้องให้ยกเลิก นายมาริษ กล่าวว่า ผลประโยชน์ของประเทศสำคัญกว่ากระแสการเมือง ตนขอย้ำว่าเอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ปี 2543 สามารถทำให้หลักเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา กว่า 70 หลัก สามารถตกลงกันได้กว่า 40 หลัก และยังทำให้ทั้ง 2 ประเทศ มาหารือในการแก้ปัญหาเขตแดน เอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ปี 2543 เป็นกรอบการเจรจาที่ทำให้ไทยและกัมพูชาต้องมีพันธกรณีมาเจรจาแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี และจริงใจ ไม่ไปเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ที่จะทำให้การตกลงเขตแดนเป็นไปยากขึ้น แต่ถ้ายกเลิกเอ็มโอยูดังกล่าว หลักเขตแดนที่ตกลงกันได้แล้วกว่า 40 หลัก ก็อาจต้องถูกยกเลิกไป ซึ่งจะกระทบกับหลักเขตแดนที่ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันได้แล้ว ฉะนั้น การตัดสินใจต่าง ๆ จะต้องดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบ

นายมาริษ กล่าวอีกว่า เอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ปี 2543 ทำให้ใช้กลไกเจบีซี ไทย-กัมพูชา มาพูดคุยกันเรื่องเส้นเขตแดน ซึ่งการประชุมเจบีซีไทย-กัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา กำหนดให้ไทย-กัมพูชา จะต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง ไลดาร์ (LiDAR) เพื่อหาข้อยุติเส้นเขตแดน ร่วมกับเอกสารต่าง ๆ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับร่วมกัน ดังนั้น ก็จะทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการพูดคุยเส้นเขตแดนให้ชัดเจน แต่ถ้าไทยยกเลิกเอ็มโอยูฯ ปี 2543 อาจทำให้กัมพูชาหยิบไปใช้เป็นข้ออ้างเพื่อนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกได้ ซึ่งจะสวนทางกับวิธีการของไทยในการแก้ปัญหาแบบทวิภาคี 2 ประเทศ รวมทั้งไทยยังใช้ประโยชน์เอ็มโอยูนี้ในการแก้ปัญหาระหว่างกัน ที่พื้นที่ของไทย ที่กัมพูชาเคยรับทราบไปแล้ว แต่กลับละเมิดเขตแดนที่ยึดมั่น ทำให้ประเทศไทย มีเหตุผลเพียงพอในการกดดัน หรือใช้วิธีการ เพื่อให้กัมพูชา ตระหนักข้อตกลงที่ได้ยอมรับไปแล้ว

เมื่อถามว่ามีโอกาสที่เอ็มโอยูดังกล่าวจะถูกยกเลิกหรือไม่ เพราะในสมัยรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี กรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศเคยมีข้อเสนอว่าไม่ควรยกเลิก จนทำให้รัฐบาลขณะนั้นประกาศเป็นมติคณะรัฐมนตรีไปแล้วนั้น นายมาริษ กล่าวว่า ตนและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ ต่างเห็นพ้องว่าเอ็มโอยูฯ ปี 2543 เป็นประโยชน์ แต่เนื่องจากในประเทศเรา ยังมีความเห็นที่ต่างกัน จึงต้องหาจุดยืนร่วมกันได้ให้ และเราพร้อมรับฟังความเห็นต่างที่เกิดขึ้น บนพื้นฐานผลประโยชน์ประเทศและประชาชน ทั้งนี้ขอยืนยันว่าการดำเนินการที่ผ่านมาไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์บุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่คำนึงถึงประเทศชาติ

เมื่อถามว่ากรณีที่ประธานาธิบดีจีนประกาศบริจาคเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ประมาณ 90 ล้านบาท แก่รัฐบาลกัมพูชา เพื่อช่วยฟื้นฟูความเสียหายของชาวกัมพูชาจากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นายมาริษ กล่าวว่า การได้รับเงินช่วยเหลือทางมนุษยธรรม จึงเป็นเรื่องปกติ ซึ่งประเทศเมียนมาได้รับเช่นกัน สำหรับประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสถานะที่เป็นประเทศผู้รับ แต่เป็นประเทศผู้บริจาค

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่สมเด็จฯ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ส่งจดหมายแสดงความยินดีกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะถือเป็นความพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือเป็นไปตามมารยาททางการทูต นายมาริษ กล่าวว่า เป็นไปได้ทั้ง 2 แนวทาง คือแสดงมารยาททางการเมืองด้วยการแสดงความยินดี และเปิดช่องการแก้ปัญหาและรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้ เพราะที่ผ่านมา มาตรการทางการทูตและการทหารของไทย บรรลุความสำเร็จ สามารถกดดันให้กัมพูชายุติการรุกราน แล้วหันมาเจรจาทวิภาคี ซึ่งไม่เฉพาะเรื่องเขตแดน แต่รวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะมาบริหารประเทศ นายมาริษ กล่าวว่า ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ยังอยากให้รัฐบาลชุดใหม่รักษาข้อตกลงที่ให้ไว้กับพรรคประชาชน เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น มุ่งเน้นการนำไปสู่หลักการการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการตามระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่จำเป็นจะต้องมีหลักประกันชัดเจนว่าจะต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะจากการที่ตนมีโอกาสนั่งบริหารประเทศ พบว่า หลักการตรวจสอบถ่วงดุล มีผลสำคัญที่จะทำให้การบริหารประเทศ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพมากในการสร้างความก้าวหน้าและการเติบโตเศรษฐกิจ ตนจึงเชื่อมั่นว่าถ้าสามารถแก้ไขหลักการตรวจสอบถ่วงดุลที่เป็นอยู่ จะทำให้สามารถพัฒนาศักยภาพที่แท้จริงของประเทศ ในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้อย่างดี.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...