ความเชื่อมั่นผู้บริโภค สนค. เดือน ก.ค. ขยับขึ้นเล็กน้อย ประชาชนยังกังวลสถานการณ์เศรษฐกิจ ขัดแย้งชายแดน มาตรการภาษีสหรัฐ หนี้ครัวเรือนสูงยังฉุด
BTimes
อัพเดต 15 สิงหาคม 2568 เวลา 23.16 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • อัพเดตข่าวหุ้น ธุรกิจ การเงิน การลงทุน การตลาด การค้า สุขภาพ กับ บัญชา ชุมชัยเวทย์ - BTimes.Bizนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 5,787 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 48.4 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ
ปัจจัยที่ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของประชาชนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นคาดว่ามาจาก 1) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจ และ 2) การส่งออกยังขยายตัวได้ดี สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีอยู่ในระดับไม่เชื่อมั่นคาดว่ามาจาก 1) ความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีตอบโต้การนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกาที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย 2) ความตึงเครียดของสถานการณ์ระหว่างไทย – กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง และ 3) ภาระหนี้ครัวเรือนและธุรกิจที่ยังคงอยู่ในระดับสูง แม้จะได้รับความช่วยเหลือลดภาระหนี้ผ่านมาตรการต่าง ๆ ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งภัยธรรมชาติในบางพื้นที่ที่อาจเป็นแรงกดดันที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระยะต่อไป
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า ด้านเศรษฐกิจไทยส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 48.00 รองลงมา คือ มาตรการของภาครัฐ คิดเป็นร้อยละ 13.19 สังคม/ความมั่นคง คิดเป็นร้อยละ 8.71การเมือง คิดเป็นร้อยละ 8.57 เศรษฐกิจโลก คิดเป็นร้อยละ 8.54 ราคาสินค้าเกษตร ร้อยละ 7.67 ผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง คิดเป็นร้อยละ 2.68 ภัยพิบัติ/โรคระบาด คิดเป็นร้อยละ 1.69 และอื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 0.95 ตามลำดับ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายภูมิภาค จำนวน 5 ภูมิภาค พบว่า ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น 1 ภาค ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 53.5 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 47.9 ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 46.7 ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 46.1 และกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 45.9 ซึ่งแม้อยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายอาชีพ จำนวน 7 อาชีพ พบว่า มีเพียง 1 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น ได้แก่ พนักงานของรัฐ อยู่ที่ระดับ 51.4 ในขณะที่มี 6 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดยนักศึกษา อยู่ที่ระดับ 49.6 ผู้ประกอบการ และไม่ได้ทำงาน/บำนาญ มีค่าดัชนีเท่ากันอยู่ที่ระดับ 49.3 เกษตรกร อยู่ที่ระดับ 49.0 อาชีพรับจ้างอิสระ อยู่ที่ระดับ 47.0 และพนักงานเอกชน อยู่ที่ระดับ 46.9 สำหรับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยังอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดยอยู่ที่ระดับ 34.6
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเป็นผลมาจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ อาทิ โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งในการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวและการขยายระยะเวลาเข้าร่วมโครงการคุณสู้เราช่วยเพื่อบรรเทาภาระหนี้สินของประชาชน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคส่วนอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น พร้อมทั้งวางรากฐานสำหรับเศรษฐกิจในระยะยาวต่อไป
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นยังส่งผลสำคัญต่อความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะท่าทีการเจรจาลดภาษีนำเข้าสินค้ากับสหรัฐฯ และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาที่อาจเป็นปัจจัยสำคัญต่อความกังวลของประชาชน ทั้งในด้านความมั่นคง สังคม และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สำคัญ นอกจากนี้ อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือยังเป็นปัจจัยซ้ำเติมความกังวลของประชาชนในช่วงที่ผ่านมา
โดยภาครัฐจะยังคงดำเนินมาตรการเพื่อตอบสนองและแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที เพื่อเป็นการบรรเทาความกังวลของประชาชนต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ขับเคลื่อนมาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อลดความกังวลของประชาชนในทุกมิติทั้งในด้านสถานการณ์ภายในประเทศและภายนอกประเทศ อาทิ มาตรการหลักในการบริหารจัดการผลไม้ปี 2568 สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกลำไย ตลอดจนการจัดกิจกรรมจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทา
ค่าครองชีพของประชาชน
ในส่วนของพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้ง กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินมาตรการเฉพาะในการควบคุมราคาสินค้าและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดแคลน ตลอดจนเร่งกระจายสินค้าและผลผลิตจากบริเวณชายแดนไปยังพื้นที่อื่น เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์ในทุกมิติอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมในการกำหนดมาตรการและตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเร่งรัดการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศต่อไป