ถอดรหัส 4 เดือน หลังแผ่นดินไหว นักวิจัยไทย-เทศ แชร์รับมือ’ภัยอนาคต’
ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ (EARTH) สังกัดสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ประชุมวิชาการนานาชาติด้านการวิจัยแผ่นดินไหว ครั้งที่ 3 The 3rd Thailand Symposium on Earthquake Research (TSER 2025) เพื่อถอดบทเรียนแผ่นดินไหวหลังผ่านมา 4 เดือน โดยมี รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯกทม. ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผอ.ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ และอาจารย์สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) Mr. Toru Kajiwara minister ans cheif of economic station at the embassy of Japan in Thailand รวมถึงนักวิจัยไทยและต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ฯลฯ ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ได้เรียนรู้จากเหตุแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มี.ค 68
รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวต้อนรับนักวิจัยและผู้เข้าร่วมงานจากนานาชาติ พร้อมเล่าถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งไม่ใช่เพียงการปฏิบัติงานของกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ยังได้รับความช่วยเหลือจากวิศวกรอาสากว่า 200 คนในการสำรวจความเสียหายของอาคารและสร้างความมั่นใจให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้อาคารได้ตามปกติ กทม.ได้ใช้แอปพลิเคชันให้ประชาชนแจ้งเหตุ และภายใน 72 ชั่วโมง ได้รับรายงานกว่า 21,000 เคส รวมถึงได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติในกรณีตึกถล่ม ทั้งนี้ กทม.ได้ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดการสั่นสะเทือนบนอาคารซึ่งสามารถบันทึกแรงสั่นไหวในวันเกิดเหตุ และนำข้อมูลมาใช้บริหารจัดการสถานการณ์แผ่นดินไหว พร้อมตั้งเป้าในอนาคตที่จะติดตั้งระบบแจ้งเตือนดังกล่าวในอาคารสาธารณะ โดยเฉพาะโรงพยาบาลทั้ง 12 แห่งของกทม. นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความร่วมมือด้านวิชาการกับประเทศญี่ปุ่นและการส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยเหลือ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพด้านการป้องกันและรับมือภัยพิบัติในอนาคต
รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวเพิ่มว่า การเตรียมพร้อมรับมือเหตุแผ่นดินไหวในพื้นที่กทม.ในอนาคต นอกจากการติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดการสั่นสะเทือนบนอาคารในรพ.ของกทม.แล้ว ในส่วนของศูนย์ฝึกฯ ที่เรากำลังก่อสร้างอยู่นั้น เฟสแรกจะเป็นการสร้างศูนย์ฝึกฯ ที่สามารถใช้อบรมให้ความรู้ด้านแผ่นดินไหวให้กับเจ้าหน้าที่ USAR สปภ.กทม. เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิ รวมถึงอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ได้มีการฝึกฝน เรียนรู้ทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเหมือนอย่างเช่นเจ้าหน้าที่ของต่างประเทศ ที่มีการฝึกฝนจนชำนาญ
ขณะที่ ศ. ดร.เป็นหนึ่ง ระบุว่าศูนย์ฯ มีนักวิจัยมากกว่า 50 คนจากหลายสถาบันและหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ ร่วมดำเนินงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง บางคนมีประสบการณ์ด้านนี้ยาวนานกว่า 20 ปี การประชุมปีนี้มุ่งเน้นหัวข้อ “บทเรียนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหววันที่ 28 มีนาคม 2568” ซึ่งได้เปลี่ยนมุมมองของสังคมไทยต่อความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว และทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยของอาคารและโครงสร้างมากขึ้นโดยคาดว่า การสัมนาเชิงวิชาการในครั้งนี้ จะเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์จากวิทยากรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการเสริมสร้างความปลอดภัยและความพร้อมของชุมชนในอนาคต
“การจัดงานสัมมนาเชิงวิชาการในครั้งนี้ เป็นอีกงานที่พยายามจะให้คนที่รู้ในแต่ละเรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินไหวมา ถ่ายทอดความรู้กัน โดยศูนย์ฯได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศ อาทิ ผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นหลายคน ผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกาที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการสั่นสะเทือนในลักษณะที่คล้ายๆกับการเกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ คือการสั่นสะเทือนในหลายประเทศที่มีแอ่งดินอ่อนขยายความรุนแรง แล้วก็มีผู้เชี่ยวชาญจากไต้หวันที่ศึกษาเกี่ยวกับรอยเลื่อนสกาย ที่เป็นต้นกำเนิดของแผ่นดินไหวโดยเข้าไปศึกษาประวัติและศึกษาการเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ ซึ่งทางกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางด้านแผ่นดินไหว เรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็นซูเปอร์เชียร์(supershear earthquake) คือการเฉือนแบบค่อนข้างจะรุนแรงเป็นพิเศษ
ทั้งนี้ 4 เดือนยังเป็นระยะเวลาที่สั้นไปที่จะสรุปอะไรได้ เพราะยังมีอีกหลายๆเรื่องที่กำลังเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ ซึ่งการจัดสัมมนาครั้งนี้ จะทำให้ได้ความเห็น ได้ความรู้ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญหลายๆด้าน รวมทั้งวางแผนที่จะทำการวิจัยสเกลใหญ่ เพื่อจะเอาความรู้เหล่านี้มาศึกษาต่อเนื่อง นำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้แก้ไขมาตรฐาน แก้ไขกระบวนการจัดการต่างๆเพื่อที่จะได้เกิดความปลอดภัยในอนาคต” ศ.ดร.เป็นหนึ่ง ระบุ
Mr. Toru Kajiwara minister ans cheif of economic station at the embassy of Japan in Thailand กล่าวชื่นชมการจัดงานครั้งนี้ ได้รวมตัวนักวิจัยชั้นนำจากญี่ปุ่นและนานาประเทศ สะท้อนว่าการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติเป็นความท้าทายร่วมของโลกที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ พร้อมย้ำว่าหลังเหตุแผ่นดินไหววันที่ 28 มี.ค. ความตระหนักของสังคมไทยต่อความเสี่ยง และความสำคัญของการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติเพิ่มสูงขึ้น โดยมีศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งประเทศไทย (EARTH) มีบทบาทสำคัญในช่วงวิกฤติ ญี่ปุ่นได้ระดมทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาสนับสนุน อาทิ การส่งผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมโยธา มาแบ่งปันความรู้ด้านมาตรฐานความปลอดภัยของอาคาร และการตรวจสอบหลังแผ่นดินไหว การจัดเวิร์กชอปถ่ายทอดองค์ความรู้ รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการดูแลสุขภาพจิตในภาวะภัยพิบัติ ทั้งนี้ความร่วมมือดังกล่าวสะท้อน “จิตวิญญาณแห่งการร่วมสร้างสรรค์” ระหว่างไทยและญี่ปุ่น ที่ผสานองค์ความรู้ เทคโนโลยี และประสบการณ์เพื่อพัฒนามาตรการรับมือภัยพิบัติอย่างยั่งยืน พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลญี่ปุ่นมุ่งมั่นสานต่อความร่วมมือนี้ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการวิจัยแผ่นดินไหวและกระชับมิตรภาพของทั้งสองประเทศต่อไป
ด้าน ศ. ดร.นคร ภู่วโรดม นักวิจัย ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ และ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ว่า จะเป็นเวทีที่ใช้สื่อสารในสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาใน 4 เดือนนี้เพื่อให้ได้เตรียมพร้อมในอนาคตโดยศูนย์ฯได้เชิญนักวิจัยทั้งไทยและต่างประเทศ มาช่วยกันให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องแผ่นดินไหวโดยเฉพาะครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา นำมาถ่ายทอดให้กับวิศวกร นักวิทยาศาสตร์และทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ที่ทำหน้าที่ป้องกันภัยด้านแผ่นดินไหว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการภัยพิบัติ
" สิ่งที่ได้เรียนรู้ มีหลายมิติ ทางด้านวิศวกรรมทั้งในแง่ของการออกแบบ ทั้งเรื่องของระบบการแจ้งเตือนซึ่งในประเทศไทยยังขาด ในอนาคตเราจะมีการพัฒนาอย่างไรให้มีระบบนี้ การจัดการหลังภัยพิบัติทั้งฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาผู้ประสบเหตุทางด้านสภาพจิตใจ ทำให้เราเรียนรู้ว่าต้องมีมาตรการอย่างไร ต้องมีความรู้ให้กับคนก่อนรวมทั้งแนวทางในการฟื้นฟูเยียวยาหลังเกิดภัยพิบัติอย่างไร "
ศ.ดร.นคร ระบุเพิ่มว่า สิ่งที่ทำให้นักวิจัยต่างประเทศสนใจเรื่องแผ่นดินไหวในกทม. เพราะมีสิ่งที่ชัดเจน คือแผ่นดินไหวระยะไกล แผ่นดินไหวดินอ่อน และอาคารสูงเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่เป็นปัญหาวิจัยที่สำคัญมากๆ ซึ่งโจทย์เหล่านี้เป็นเรื่องที่สำคัญของทุกๆที่ทั่วโลก ปัญหาคือเมืองใหญ่ เมกะซิตี้ ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บนดินอ่อน แล้วก็มีตึกสูงจำนวนมาก นั่นคือปัญหาที่เป็นโจทย์ร่วมกันโดยกรุงเทพฯ มีความชัดเจนมากจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ทั่วโลกให้ความสนใจ.