ดร.ยุทธนา iTAX วิเคราะห์ ทำไมยิ่งรวย ยิ่งได้แรงจูงใจบริจาค–ตั้งมูลนิธิ
คอลัมน์ : สัมภาษณ์
ทำไมคนรายได้สูงเสียภาษีแพง จึงได้ “ส่วนลดภาษี” มากกว่าคนชั้นกลางหลายเท่า? ประชาชาติธุรกิจ คุยกับ ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้ง iTAX วิเคราห์มุมลึกเบื้องหลังการบริจาคและการตั้งมูลนิธิ ที่อาจไม่ได้มีแค่ “บุญ” หากแต่เป็น “กลยุทธ์ภาษี” ที่เศรษฐีนิยมใช้ เพื่อควบคุมทิศทางเงินและสร้างภาพลักษณ์
เมื่อเส้นแบ่งระหว่าง “ลดหย่อน” กับ “เลี่ยงภาษี” บางกว่าที่คิด…สังคมไทยได้หรือเสียมากกว่ากัน?
คนระดับไหนที่นิยมบริจาค เพื่อลดหย่อนภาษีมากที่สุด ?
ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้ง iTAX แอปพลิเคชันคำนวณ-วางแผนภาษี เปิดมุมมอง กับประชาชาติธุรกิจ ว่า คนไทยยิ่งรายได้สูงมากอัตราภาษีจะยิ่งสูง แรงจูงใจในการบริจาคลดหย่อนภาษีจึงสูงตามไปด้วย ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเราเสียภาษีส่วนบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอัตราสูงสุด 35% แปลว่าเราบริจาคไป 100 บาท เราได้คืน 35 บาททันที ขณะเดียวกันถ้าเป็นผู้มีรายได้น้อย เช่น เสียภาษีอัตรา 5% แต่เงินเดือนผมประมาณสักแบบประมาณ 20,000- 30,000 บาท แล้วไปจาก 100 บาท จะได้คืน 5 บาท เทียบกับได้คืน 35 บาท มันต่างกัน 7 เท่า
ดังนั้น คนมีรายได้สูงย่อมมี incentive หรือว่าแรงจูงใจในการบริจาคเพื่อลดหย่อนภาษี มากกว่าคนรายได้น้อยอยู่แล้ว ประกอบกับพอรายได้สูงมากๆ แสดงว่าเพดานในการลดหย่อนภาษีก็จะมากว่าด้วย ซึ่งถ้าเป็นคนทั่วไปที่บริจาค 100,000 บาทก็นับว่าเยอะมากแล้ว แต่ในขณะที่คนรวยมาก ๆ ก็สามารถบริจาคได้เป็นล้าน เพราะช่วงที่เขายังต้องเสียภาษีแพงมันกว้างมาก ซึ่งเป็นไปได้เหมือนกัน
ทำไมคนรวยเลือกตั้งมูลนิธิเป็นของตัวเอง มากกว่าบริจาคโดยตรง?
เรื่องนี้ ผศ.ดร.ยุทธนา เชื่อว่า บางทีคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เขาอาจมีเรื่องที่เขาอยากทำ หรือถึงจุดอิ่มตัวกับเรื่องเงินทอง แล้วอยากจะช่วยสังคมบ้าง ซึ่งการช่วยสังคมอย่างหนึ่งคือเอาเงินไปให้หน่วยงานต่างๆ หรือให้หน่วยงานนั้นๆ นำไปปฏิบัติภารกิจ แต่อีกด้านหนึ่งคือตัวเจ้าของเงินอาจจะมีบางเรื่องที่เป็นภารกิจซึ่งเขาสนใจเองอยู่แล้ว หรือมั่นใจมากกว่าว่าถ้าอยู่ในมือเขาอยู่ในเครือข่ายของเขา มันจะสามารถทำให้ภารกิจนั้นบรรลุได้
เรียกได้ว่าใช้เงินตัวเองแก้ปัญหาได้ตรงใจมากกว่าเอาเงินนี้ไปฝากให้คนอื่น ซึ่งบางคนอาจจะว่างแล้ว เกษียณแล้ว หรืออายุมากขึ้นแล้วมีธุรกิจที่เริ่มถ่ายทอดไปให้ลูกหลาน และตอนนี้ตัวเองสามารถมาช่วยภารกิจเพื่อสังคมได้ ก็ตั้งตัวเองเป็นประธานมูลนิธิเองเลย ซึ่งเราจะเห็นการดำเนินการรูปแบบนี้อยู่บ่อยๆ
การบริจาคเพื่อการกุศล เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเลี่ยงภาษี?
ผศ.ดร.ยุทธนา กล่าวว่า รูปแบบนี้อาจมีอยู่จริง เพราะเวลาที่เราไปบริจาคลดหย่อนภาษี ไม่ว่าจะบริจาคแบบได้ใบอนุโมทนา หรือว่าบริจาค e-Donation ก็ตาม โดยปกติเวลาที่เขาดูก็คือดูว่าใครเป็นคนบริจาค คราวนี้มันก็จะมีรูปแบบหนึ่งที่คนเขาทำกัน คือ บางทีรวมตังค์กันมา เช่น เราอยากไปทำบุญ แล้วเราอาจจะใช้เงินทำบุญ 10,000 บาท แล้วไปชวนเพื่อนอีก 9 คนมาทำบุญด้วย เพื่อนก็โอนมาให้อีกคนละ 10,000 บาท รวมกันแล้ว 100,000 บาท ถ้าเราเอาเงิน 100,000 บาท ไปบริจาค แล้วบอกเขาว่าคนบริจาคมี 10 คนนะ มันก็คนละ 10,000 บาท ตามจำนวนเงินมา แต่เวลาที่เงินมันเข้าบัญชีเรามาแล้ว เมื่อเราจะโอนต่อไปบริจาคมันกลายเป็นว่าทุกคนไปทำบุญ แต่ว่าคนออกใบเสร็จ มันเป็นชื่อเราคนเดียว แปลว่าเราทำบุญจริง 10,000 บาท แต่ยอดใบเสร็จเราได้มา 100,000 บาท อันนี้คือแบบไม่เทามากก็จะเป็นแบบนี้
“ถ้ารูปแบบที่ดาร์กมาก ๆ ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง คือ พวกที่ไปบริจาคจริงๆ แล้วบริจาคด้วยจำนวนเงินที่ไม่เยอะ ซึ่งกรณีที่มีข่าวมาเรื่อย ๆ มักจะเป็นวัด สมมติว่าผมบริจาคไป 10,000 บาท แล้วผมบอกที่วัดเลยบอกว่าให้เขียนตัวเลขบริจาคที่ผมอยากได้ ซึ่งอาจจะเป็น 100,000 บาท หรือเป็นเท่าไหร่ก็ว่ากันไป แล้ววัดเป็นคนรับรองว่าตัวเลขนี้เป็นตัวเลขจริง แต่ไม่มีใครไปตรวจสอบทางบัญชีว่าเงินที่เข้าไปมันเท่าตัวเลขที่เขียนลงไปจริงหรือเปล่า จึงเป็นช่องที่ทำให้มันเกิดเหตุการณ์ประมาณนี้เกิดขึ้น
จนล่าสุดทำไปสู่กรมสรรพากรต้องส่งหนังสือไปที่สำนักพุทธ แล้วบอกว่าเริ่มปีหน้าทุกวัดต้องมาเข้าระบบ e-Donation นะ เพราะจากนี้ไปเวลารถหย่อนภาษีได้ ให้เทรดจากตัวเลขที่ผ่านบัญชีธนาคารเท่านั้น” ผศ.ดร.ยุทธนา กล่าว
แรงจูงใจในเชิงภาษี ระหว่างการบริจาคกับการตั้งมูลนิธิ ?
ผศ.ดร.ยุทธนา ให้มุมมองเรื่องนี้ว่า ถ้าเปรียบเทียบระหว่างการบริจาคกับการตั้งมูลนิธิ แรงจูงใจในเชิงภาษี จะเท่ากันแต่ว่าคอนโทรลต่างกันแน่นอน เทียบกับถ้าหากเราบริจาคไปที่หน่วยงานที่เป็นองค์กรกุศลสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล เงินเข้าไปก็ลดหย่อนภาษีได้ แล้วมันบรรลุวัตถุประสงค์ที่เราอยากได้ แต่อาจจะไม่ 100% เพราะเราไม่ได้มีอำนาจในการไปควบคุมเงินก้อนนั้น
แต่ในทางกลับกันถ้าเราอยากมีอำนาจในการควบคุม ทิศทางของเงินที่เราจะเอาไปใช้การตั้งมูลนิธิเองจึงอาจจะตอบโจทย์มากกว่า แต่ก็แลกกับการที่ผู้ก่อตั้งอาจจะเหนื่อยมากขึ้นด้วยเหมือนกัน และอาจจะเป็นข้อครหาจากสังคมบางอย่างได้ว่า มันเป็นการโยกเงินจากกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวาหรือเปล่า เพราะคุณตั้งมูลนิธิขึ้นมาแล้วสุดท้ายจริง ๆ มูลนิธิอาจตอบโจทย์อะไรบางอย่างในชีวิตคุณ ที่คุณได้ประโยชน์มา แต่มูลนิธิไม่โดนเรื่องภาษี ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ก็ต้องไปชี้แจงกันต่อ แต่ยังเชื่อว่าคนจำนวนมากตั้งมูลนิธิมาน่าจะมีเจตนาเพื่อให้สังคมดีขึ้นแน่นนอน
กฎหมายไทยเปิดโอกาสให้มูลนิธิได้รับสิทธิ์ทางภาษีแบบไหนบ้าง?
ผศ.ดร.ยุทธนา กล่าวว่าปัจจุบันองค์กรการกุศลมีการไปแจ้งจดเป็นองค์กรการกุศลสาธารณะที่กูกต้อง กระทรวงการคลังประกาศว่าไม่ต้องเสียภาษี เพราะสำหรับเงินบริจาคไม่ต้องเสียภาษี แล้วผู้บริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ส่วนเรื่องช่องโหว่ที่ทำให้มูลนิธิหรือว่าองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรเหล่านี้ถูกใช้เป็นกลยุทธ์เลี่ยงภาษีมากกว่าจะทำงานเพื่อสังคมก็อาจมีช่องทางอยู่บ้างเหมือนกัน
ถ้าหากเจ้าของเงินต้องการทำให้มันเป็นแค่การโยกเงินจากกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา หรือโยกจากเงินจากธุรกิจไปอยู่ที่มูลนิธิแทน ทุกอย่างมันก็อยู่เป็นลูปเดิม แล้วเวลาเงินเข้าเงินออก เมื่อตรวจสอบมันไม่ได้ หรือมีการทำอะไรที่มันตรวจสอบชัดเจนได้ไม่มากนัก อาจจะเป็นช่องว่างที่ทำให้เกิดข้อครหาได้ ซึ่งต้องแลกกับการความโปร่งใสของการทำบัญชี รวมถึงตัววัตถุประสงค์ของเงินที่เอาไปใช้ ยังพอมีวิธีในการพิสูจน์ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะมีคนไปตรวจสอบหรือเปล่า
“ที่ผ่านมา เราอาจจะไม่ได้มีเวลาไปสนใจกับทุกมูลนิธิ แล้วยิ่งมูลนิธิที่เกิดจากตัวบุคคล เช่น ชื่อมูลนิธิเป็นชื่อเจ้าของเงินด้วย คนตรวจสอบก็มีแค่พวกพ้องเขา อันนี้ก็อาจจะยากหน่อย ต้องมองกระบวนการอื่น ๆ ว่าสรรพากรไปตรวจได้บ้างไหมที่องค์กรการกุศลนั้นๆ เขาทำอย่างที่บอกจริงหรือไม่ ในภาคปฏิบัติแล้วเขาใช้เงินจริงตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ หรือว่าเป็นแค่แหล่งหลบเลี่ยง ฟอกเงิน หรือไปทำอะไรที่มันไม่ถูกต้องหรือเปล่า” ผศ.ดร.ยุทธนากล่าว
สังคมได้หรือเสีย จากการที่คนรวยเลือกบริจาคเพื่อลดหย่อนภาษี?
ผศ.ดร.ยุทธนา ให้มุมมองถึงเรื่องนี้ว่า ต้องถามว่าบริจาคไปไหน บริจาคทำอะไรด้วย เพราะว่าถ้าเกิดเรามีเงินภาษีในการไปทำอะไรหลายๆ อย่าง ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่ามีหลายกรณีเงินไม่พอ ถ้ากลับไปที่ต้นทางคือบางทีอาจจะเป็นการเกลี่ยงบประมาณที่มันไม่ถูกประเภทตั้งแต่แรก ยกตัวอย่างโรงพยาบาล เราไม่เคยได้ยินว่าโรงพยาบาลมีเงินเหลือกินเหลือใช้เลย เป็นสถานที่ที่ขาดแคลนตลอด นั่นแสดงว่าเรื่องการบริจาคจริงๆ มันสะท้อนได้ 2 อย่าง
อย่างแรกก็คือ คนไทยใจดีแล้วก็มีความพร้อมในการสนับสนุนเรื่องดังกล่าวนี้เพื่อให้สาธารณสุขมันเข้าถึงทุกคนและดีขึ้นได้
อย่างที่สอง ในทางกลับกันมันก็สะท้อนความไม่มีประสิทธิภาพของภาครัฐเหมือนกัน เพราะเราจะมีการตั้งคำถามว่าเก็บภาษีกันยังไงทำไมงบมันถึงเกลี่ยไปในที่ที่มันไม่ควร แล้วสุดท้ายกลายเป็นว่าพอเวลาต้องการความช่วยเหลือประชาชนต้องมาช่วยกันเอง แล้วบริจาคเปิดบัญชีมาเป็นของหน่วยงานรัฐ เวลาเห็นก็จะรู้สึกแปลก ๆ
“การบริจาคมันแล้วแต่วัตถุประสงค์ที่เราอยากให้ อันนี้กฎหมายมันไม่ได้ห้าม คุณอยากทำคุณทำไปเถอะ แต่ว่าอีกด้านหนึ่งถ้าหากเรื่องนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสาธารณประโยชน์แล้วเรายังต้องบริจาคกันเองอยู่ แสดงว่ามันก็แสดงออกถึงประสิทธิภาพบางอย่างที่มันอาจจะยังไม่มีความพร้อมมากนัก” ผศ.ดร.ยุทธนา กล่าว
กลไกระบบภาษีไทย-การบริจาคเพื่อเกิดประโยชน์กับส่วนรวม ?
ผศ.ดร.ยุทธนา กล่าวต่อว่า ตัวกลไกไม่ได้ผิดอะไร แต่ควรกลับมาทบทวนในหลาย ๆ เรื่อง เช่น ถ้ามองว่าการบริจาคเป็นการเอื้อคนรวยมากเกินไป อาจต้องตั้งคำถามกลับว่าถ้าเป็นในช่องบริจาค ยังอยากให้เป็นค่าลดหย่อนภาษีหรือเปล่า เพราะว่าคนรายได้สูงอาจได้ประโยชน์มากกว่า แต่ถ้าเกิดรายได้น้อยรายได้มากแล้วได้ประโยชน์เท่ากัน การตั้งคำถามหรือประเด็นเหล่านี้อาจจะลดลงไป
ส่วนเรื่องการตรวจสอบตัวองค์กร หรือตัวมูลนิธิ ว่าเอาเงินไปใช้มันถูกประเภทหรือไม่ ตรงนั้นสรรพากรที่เป็นผู้มีอำนาจในการไปตรวจสอบ ย่อมสามารถทำอะไรบางอย่างได้อยู่แล้ว ถ้าหากมันมีความจริงจัง หรือสามารถเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเข้าไปตรวจสอบได้ บางทีก็อาจจะลดภาระสรรพากรในส่วนนี้ แล้วทำให้สามารถเช็กได้ว่า มูลนิธินั้นๆ มันไม่ใช่แหล่งฟอกเงินนะ เขามีวัตถุประสงค์ในการทำสาธารณประโยชน์จริง ๆ ซึ่งอาจไม่ใช่ตัวหลักกฎหมายซะทีเดียว แต่เป็นเรื่องของกระบวนการมากกว่าว่าจะทำให้เกิดความโปร่งใสยังไงได้บ้าง
บริจาคเพื่อลดหย่อนภาษี ต่างจากการเลี่ยงภาษี ยังไง?
สำหรับการบริจาคเพื่อลดหย่อนภาษีมันเป็นช่องทางที่กฎหมายบอกว่าถ้าคุณนำเงินไปใช้ตรงนี้คุณจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่การหนีภาษีหรือหรือเลี่ยงภาษีคือคุณไม่ทำหน้าที่ผู้เสียภาษีให้ถูกต้อง เช่น คุณจ่ายภาษีไม่ครบ คุณแจ้งรายได้ขาดไป ทำให้คุณเสียภาษีน้อยลง กรณีแบบนี้ไม่ใช่ช่องที่กฎหมายบอกว่าคุณทำได้แต่ยังพยายามทำ จะแตกต่างกับการวางแผนภาษีที่การบริจาคคือการทำในสิ่งที่กฎหมายอนุญาตให้คุณทำได้
บริจาคยังไงให้คุ้มค่า ไม่ตกหลุมพราง ?
ผศ.ดร.ยุทธนา ให้มุมมองในช่วงท้ายว่า ถ้าเกิดเป็นเรื่องบริจาคคนส่วนใหญ่มักจะเน้นเรื่องแต้มบุญเป็นหลัก เพราะบริจาคแล้วเกิดความสบายใจ หรือรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในในจุดที่เราทำแล้วรู้สึกดี ดังนั้น อย่าเอาเรื่องภาษีเป็นตัวตั้ง ควรเอาความสบายใจเป็นตัวตั้งก่อนว่ามีกำลังมากพอที่จะบริจาคได้จริง ๆ ถ้าคิดว่าอยากบริจาคแล้วบริจาคไหวก็สามารถทำได้เลย
ต่อมาเมื่อเลือกแล้วว่าอยากจะบริจาค อาจจะลองตรวจสอบเพิ่มอีกว่าหน่วยงานที่เรากำลังจะบริจาคไป เป็นหน่วยงานที่เอาเงินเราไปใช้ถูกวัตถุประสงค์จริง ๆ ไม่ใช่ผู้รับบริจาครับเงินแล้วอมไว้หรือเอาไปทำเรื่องที่มันไม่ถูกต้อง
“เรื่องการเราบริจาค คนไทยเราจะรู้สึกว่าเป็นวินาทีที่มีความสุข คิดว่าวินาทีที่ได้บุญมันจบที่เราหยอดตู้หรือว่าโอนเงินไป ซึ่งมองว่าก่อนจะไปถึงจังหวะนั้น เราควรทำการบ้านเพิ่มอีกนิดก็ได้ ลองเช็กดูว่าใครเป็นผู้บริหารหรือหน่วยงานนั้นมีความน่าเชื่อถือไหม เอาเงินไปทำอะไร มีผลงานก่อนหน้านี้หรือเปล่า คุ้มเงินที่เราใช้หรือเปล่า ถ้าใช่แล้วเราอยากจะร่วมอนุโมทนาบุญกับเขาด้วยเราบริจาคไป ดีกว่าการบริจาคแล้วไม่ได้เช็กอะไรเลย แล้วพอมารู้ทีหลังว่าเป็นแหล่งฟอกเงิน อย่างนี้มันไม่ดี แม้ว่าจะได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี แต่ผู้บริจาคคงไม่มีความสุข” ผศ.ดร.ยุทธนา กล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ดร.ยุทธนา iTAX วิเคราะห์ ทำไมยิ่งรวย ยิ่งได้แรงจูงใจบริจาค–ตั้งมูลนิธิ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net