“ดร.ตฤณห์”ซัดแรง! “วิชาสื่อวิญญาณไม่มีจริง” ชี้มิจฉาชีพแฝงตัวในคราบผู้วิเศษ
เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริการวิชาการ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และนักอาชญาวิทยาเชิงพฤติกรรม ปรากฏตัวในรายการ “โหนกระแส” เปิดใจถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้ได้โพสต์ข้อความในโลกโซเชียลรัว ๆ แบบไม่ไว้หน้าใคร โดยเจ้าตัวยอมรับว่า สิ่งที่โพสต์นั้น “กระทบหลายคน หลายอาชีพ” และเจตนาเพื่อเตือนสติสังคม
“บางคนออกมาพูดว่าเคยทำอะไร เคยไปอยู่ตรงไหน มีโอกาสอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ความจริงคือไม่ได้ทำ หลักฐานมันเช็กได้หมด การพูดในสิ่งที่ไม่จริง สังคมควรต้องตั้งคำถาม” ดร.ตฤณห์ กล่าว
พร้อมเตือนว่า ไม่ว่าใครจะเป็นอาจารย์ หมอ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านใดก็ตาม ประชาชนไม่ควรเชื่อทั้งหมดแบบ 100% แต่ควรรับฟัง แล้วไปตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อเสมอ
โดยเฉพาะในกรณีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการ “สื่อสารกับวิญญาณ” ดร.ตฤณห์ ระบุว่า สำหรับตนแล้วมีเพียง 2 กลุ่มที่เกี่ยวข้องคือ “ผู้ป่วย” กับ “มิจฉาชีพ” พร้อมตั้งคำถามกลับว่า “ถ้าสื่อวิญญาณได้จริง ทำไมไม่รู้ว่าตัวเองจะเจอคดี? ถ้าวิญญาณมีพลังจริง ๆ ก็คงไม่ตายหรอกใช่ไหม?”
เขายังระบุชัดเจนว่า พฤติกรรมลักษณะนี้เข้าข่ายโรคทางจิต และหากไปกระทำต่อหน้าจิตแพทย์อาจต้องรับการรักษาแบบเฉียบพลัน
ในรายการ ยังมีการพูดถึงกรณี “หมอปลาย” ที่เคยออกมาทำนายว่าอาจมีเหตุการณ์ใหญ่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่ง ดร.ตฤณห์ มองว่า การทำนายเช่นนี้อาจมีเจตนาซ่อนเร้น ไม่ใช่เพื่อเตือนอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เพื่อแสวงหาความสนใจและรายได้ พร้อมถามกลับว่า “สุดท้ายแล้ว อาชีพของเขาคืออะไร?”
ดร.ตฤณห์ ยังเปิดเผยว่า มีผู้เสียหายหลายรายร้องเรียนเข้ามา ซึ่งเขาได้ทำหน้าที่ในฐานะนักวิชาการ ประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นปี ดำเนินการ “หลังบ้าน” อย่างต่อเนื่อง
“หลายคนอยู่สบายมาหลายปี มีคนติดตามมาก เชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตา นี่แหละคือความน่ากลัวของสังคม เชื่อแล้วไม่กล้าตั้งคำถาม ไม่หาข้อเท็จจริง”
เขาย้ำว่า ความเชื่อแบบไร้เหตุผล เป็นต้นทางของ “ความงมงาย” พร้อมแยกชัดเจนระหว่าง “ศรัทธา” กับ “การเชื่อแบบไร้สติ”
ท้ายที่สุด ดร.ตฤณห์ ทิ้งท้ายว่า
“นี่คือส่วนหนึ่งของอาชญากรรม คือการหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ ผมเพิ่งโพสต์ไปเมื่อเช้าเองว่า ลูกศิษย์ยิ่งเขลา อาจารย์ยิ่งขลัง โลกทัศน์แคบ ได้แต่ข้อมูลที่ถูกป้อนมา”
และเตือนว่า การอ้างเรื่องชาติที่แล้ว เป็นหนึ่งใน “กลยุทธ์” ที่ผู้แฝงตัวในคราบผู้วิเศษใช้หลอกให้คนเชื่อมโนมานา เพื่อสร้างความผูกพันที่ตรวจสอบไม่ได้ พร้อมชี้ให้เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมต้องแยกแยะ “ความเชื่อ” จาก “การหลอกลวง”.