กต.แจงผู้แทนฯ-สื่อ ปมเชลยสงคราม-เรียกร้องค่าเสียหายกัมพูชา
กระทรวงการต่างประเทศจัดการแถลงข่าวสรุปสาระสำคัญจากการให้ข้อมูลแก่คณะทูตานุทูตและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศกว่า 120 ท่าน เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ตึงเครียดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยยืนยันว่าไทยมิได้เป็นฝ่ายรุกรานหรือยึดครองพื้นที่ใด ๆ แต่ปฏิบัติการทางทหารทั้งหมดเป็นการตอบโต้ภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ
วันที่ 4 สิงหาคม 2568 การประชุมประจำวันเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นาย นิกรเดช พลางกูร โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
ได้แถลงข่าวสรุปสาระสำคัญจากการให้ข้อมูลแก่คณะทูตานุทูตและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศกว่า 120 ท่าน เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ตึงเครียดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยยืนยันว่าไทยมิได้เป็นฝ่ายรุกรานหรือยึดครองพื้นที่ใด ๆ แต่ปฏิบัติการทางทหารทั้งหมดเป็นการตอบโต้ภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ และได้เปิดให้มีการตอบข้อซักถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับประเด็นสำคัญต่างๆ
โดยเริ่มด้วยถ้อยแถลง: การชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากโจมตีในหลายจุด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและพลเรือนต้องอพยพจำนวนมาก แม้จะมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ณ กรุงปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม แต่ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงดังกล่าวหลายครั้ง
กระทรวงการต่างประเทศระบุว่า ปฏิบัติการของไทยทั้งหมดอยู่ภายใต้สิทธิป้องกันตนเองตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ และเน้นย้ำว่าไม่มีการเคลื่อนกำลังพลรุกล้ำเข้าไปในดินแดนของกัมพูชา หรือมีเป้าหมายในการ “ยึดพื้นที่” แต่อย่างใด พร้อมปฏิเสธข้อกล่าวหาจากฝั่งกัมพูชาที่ระบุว่าไทยเป็นฝ่ายรุกรานหรือกระทำผิดหลักมนุษยธรรม
“ไทยปฏิบัติการภายใต้หลักสันติวิธีและความจำเป็นในการป้องกันตนเองเท่านั้น ไม่มีเป้าหมายในการควบคุมหรือครอบครองพื้นที่ใดเพิ่มเติม” แถลงการณ์ระบุ
นอกจากนี้ ไทยยังกล่าวหากัมพูชาอย่างตรงไปตรงมาว่าได้ใช้ความรุนแรงต่อเป้าหมายพลเรือน รวมถึงวัด โรงเรียน และสถานพยาบาล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา และการใช้ทุ่นระเบิดซึ่งขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา
ไทยได้แสดงความพร้อมในการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี โดยจะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ระหว่างวันที่ 4–7 สิงหาคมนี้ และเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ในเดือนกันยายน
อย่างไรก็ตาม ทางการไทยเรียกร้องให้กัมพูชายุติการเผยแพร่ข้อมูลเท็จที่อ้างว่าไทยกำลังเตรียมโจมตีรอบใหม่ โดยเตือนว่าการบิดเบือนข้อมูลเช่นนี้จะยิ่งสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน และเป็นอุปสรรคต่อความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
"อย่างกรณีล่าสุดเมื่อคืนนี้ กล่าวหาว่าไทยกำลังอพยพคนออกจากสุรินทร์เพื่อเตรียมการโจมตีกัมพูชาก่อนการประชุม GBC ก็ไม่เป็นความจริงอีกเช่นกันนะครับ การกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ เป็นอุปสรรคต่อการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันและทำให้ความขัดแย้งขยายตัวไปสู่ระดับประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งมันเป็นการบั่นทอนความพยายามในการทำให้ความสัมพันธ์กลับสู่สภาวะปกติ"
กระทรวงการต่างประเทศยังได้เน้นย้ำต่อประชาชนไทยให้ติดตามข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสารจากสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเครื่องมือของข้อมูลบิดเบือนจากฝ่ายตรงข้าม
ตอบข้อซักถามสื่อมวลชน:
1. กรณีข้อกล่าวหาการปฏิบัติผู้ถูกควบคุมตัวของฝ่ายกัมพูชา
โฆษกย้ำว่าฝ่ายไทยปฏิบัติต่อผู้ถูกควบคุมตัวอย่างมีมนุษยธรรมตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ยืนยันความจริง และได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่ด้วย ส่วนฝ่ายกัมพูชามีความพยายามเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน ซึ่งไทยปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างเด็ดขาด พร้อมเตรียมเชิญองค์กรระหว่างประเทศเข้าตรวจสอบผู้ถูกควบคุมตัวโดยตรงในวันต่อไป
2. ประเด็นกลิ่นเหม็นรุนแรงบริเวณชายแดน
โฆษกกล่าวว่า ข่าวเกี่ยวกับกลิ่นเหม็นซึ่งสันนิษฐานว่าเกิดจากศพทหารกัมพูชาที่ไม่ได้ถูกเก็บกลับ เป็นเพียงข่าวที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ไม่ใช่ข้อมูลอย่างเป็นทางการของฝ่ายไทย ขณะนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันข้อมูลได้ เนื่องจากศพดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ของกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ไทยตระหนักดีว่าการละทิ้งศพอย่างนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งหากได้รับหลักฐานเชิงประจักษ์ ฝ่ายไทยจะดำเนินการอย่างเหมาะสมต่อไป
3. ความคืบหน้าการประชุมระดับเลขานุการฝ่ายไทย-กัมพูชา (GBC)
โฆษกระบุว่า ขณะนี้การประชุมยังอยู่ในช่วงหารือภายใน ฝ่ายไทยเน้นย้ำการรักษาข้อตกลงหยุดยิง (CASF Agreement) ให้เป็นไปอย่างยั่งยืน พร้อมขอให้ฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างจริงจัง หลังจากที่ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง
4. ข้อกฎหมายระหว่างประเทศและการเรียกร้องค่าเสียหาย
ทางกระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการดำเนินการเรียกร้องความรับผิดชอบจากฝ่ายกัมพูชาในกรณีที่เกิดความเสียหาย เช่น โรงพยาบาลในฝั่งไทยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งเบื้องต้นใช้งบประมาณซ่อมแซมกว่า 45 ล้านบาท โดยจะใช้ช่องทางกฎหมายระหว่างประเทศและมาตรการทางการทูตเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยและเยียวยาอย่างเหมาะสม
5. สงครามข้อมูลและการยืนยันความจริง
โฆษกมั่นใจว่าข้อเท็จจริงของฝ่ายไทยจะได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดมีหลักฐานและฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายังขาดหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหา ทั้งนี้ฝ่ายไทยใช้วิธีการสื่อสารที่โปร่งใสและพร้อมให้ข้อมูลแก่องค์กรระหว่างประเทศทุกขั้นตอน
6. บทบาทของคณะทูตผู้ช่วยทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โฆษกระบุว่าคณะทูตผู้ช่วยทหารได้ลงพื้นที่ชายแดนและบรีฟข้อมูลแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด โดยเน้นย้ำว่า ไทยมีความตั้งใจจริงที่จะยุติความขัดแย้งอย่างถาวร และพร้อมดำเนินการตามกลไกความร่วมมือทวิภาคีภายใต้การนำของกระทรวงกลาโหมและการสนับสนุนของกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด