ยังไม่ถึงทางตัน 'ทักษิณ' ชำแหละเกมการเมือง มั่นใจ 'ลูกสาว' รอดคดี
จุดเริ่มของบทสนทนาในค่ำคืนการเมือง
ค่ำวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 บนเวที “55 ปีเนชั่น ผ่าทางตันประเทศไทย” ที่โรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพฯ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดใจต่อหน้าผู้ชมในรายการทอล์กใหญ่ที่รวมหลากหลายผู้นำความคิดของสังคม
ท่ามกลางภาวะนายกรัฐมนตรีชั่วคราว เสถียรภาพรัฐบาลที่ยังไม่มั่นคง และแรงกระเพื่อมจากพรรคร่วมที่ถอนตัว คำพูดแรกของอดีตผู้นำคือการประกาศตัว “มาในฐานะพ่อนายกฯ” พร้อมบอกเล่ามุมมองและเบื้องลึกของสถานการณ์ที่กำลังปะทุ
แฉเกมฮั้ว–วางแผนตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง
หนึ่งในประเด็นร้อนคือข้อกล่าวหาเรื่อง "ฮั้ว สว." ที่ทักษิณระบุว่า ไม่ใช่เพียงความร่วมมือระหว่างพรรคการเมือง แต่เป็นการวางแผนล่วงหน้า โดยใช้กลไกควบคุม สส. แล้วพ่วงโควตา สว. ตั้งแต่ช่วงเลือกตั้ง 2566 พร้อมตั้งคำถามถึงจริยธรรมของผู้ร้องคดีว่า “เมื่อไร้จริยธรรมจะไปร้องจริยธรรมได้อย่างไร?”
อดีตนายกฯ ยอมรับว่าตกใจกับความแยบยลของกระบวนการนี้ และมองว่าทั้งหมดเป็นการแข่งขันกับเวลาเพื่อให้รัฐบาลล่มภายในเดือนกรกฎาคม 2568
ตัวเลขในสภาฯ คือโจทย์ที่แก้ได้ ไม่ใช่ทางตัน
แม้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรจะไม่มั่นคงเต็มร้อย แต่คณิตศาสตร์การเมืองยังคงถูกหยิบมาเป็นเครื่องมือสำคัญ ทุกคะแนนมีความหมาย หากออกแบบการรวมเสียงอย่างมีชั้นเชิง แม้ไม่สมบูรณ์แบบ ก็ยังพอประคองเสถียรภาพได้
ไม่มีฝ่ายใดสามารถอยู่ลำพังได้อย่างมั่นคงในกติกาการเมืองแบบปัจจุบัน และเมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยง ก็อาจต้องแลกด้วยการกลืนเลือด เพื่อให้รัฐบาลเดินหน้าต่อได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทางรอดของลูกสาว และความมั่นใจในกระบวนการ
คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ยังไม่ถือเป็นจุดสิ้นสุดของบทบาทผู้นำ หากข้อเท็จจริงได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม โอกาสกลับมาทำหน้าที่ยังคงมีอยู่
กรณีนี้ถูกจัดอยู่ในหมวดสถานการณ์ที่มีทางออก โดยเฉพาะเมื่อพรรคเพื่อไทยยังมีตัวเลือกสำรอง และไม่ปิดประตูต่อการคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการยุบสภา หากความจำเป็นมาถึง
ไม่ปิดทาง “จูบปากรอบสาม” กับฝ่าย (แค้น) ค้าน
แม้พรรคภูมิใจไทยจะเป็นหนึ่งในผู้แปรพักตร์จากพรรคร่วมรัฐบาล แต่อดีตผู้นำไม่ถือว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องถาวร ตรรกะของการเมืองไทยยังคงหมุนรอบคำว่า “ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูถาวร”
การจับมือรอบใหม่ แม้อาจจะต้อง “กลืนเลือด 4 ปี๊บ” ก็ยังเป็นไปได้ หากคณิตศาสตร์ทางการเมืองบีบบังคับให้ต้องเดินไปด้วยกันอีกครั้ง
สีแดง สีส้ม หรือสีน้ำเงิน ใครคือพันธมิตรที่เป็นไปได้?
คำถามถึงโอกาสในการรวมมือกับพรรคสีต่าง ๆ ได้รับคำตอบผ่านอุปมาเรื่องสี พรรคแดงกับส้มมีโครงสร้างนโยบายที่ใกล้กัน ต่างจากน้ำเงิน ที่ถูกนิยามว่าเป็น 'ปลาคนละน้ำ'
จังหวะและแนวนโยบายยังเป็นตัวแปรสำคัญในการเลือกจับมือ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันหลักซึ่งอดีตนายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะไม่มีวันขัดแย้งหรือร่วมงานกับผู้ที่กระทบกระเทือนต่อจุดยืนดังกล่าว
มหาดไทยเริ่มขยับ ราชการอย่าเกียร์ว่าง
การเปลี่ยนผ่านในกระทรวงมหาดไทยถูกกล่าวถึงว่าเริ่มต้นอย่างชัดเจน รัฐมนตรีคนใหม่เดินหน้าโยกย้ายทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง พร้อมส่งสัญญาณไม่ยอมให้ข้าราชการอยู่ในสภาวะเกียร์ว่าง
แม้หัวหน้ารัฐบาลจะถูกพักงาน แต่นโยบายหลักอย่างการแก้หนี้ ยาเสพติด หรือโครงการบ้าน 99 ปี ยังจำเป็นต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยกลไกในราชการที่ต้องทำงานโดยไม่รอคำสั่งการเมือง
โครงสร้างการเมืองที่หยุมหยิม และการฟ้องร้องที่ไร้จุดจบ
คำว่า “หยุมหยิม” ถูกนำมาใช้แทนภาพรวมของระบบที่อนุญาตให้การฟ้องร้องกลายเป็นอาวุธทางการเมืองได้ง่ายเกินไป จนเปิดช่องให้เกิดอาชีพนักร้องในสนามประชาธิปไตย
แม้จะมีความรู้สึกว่าระบบยังไม่เท่าเทียม แต่อดีตผู้นำยังยืนยันว่าจะไม่ละทิ้งกติกา และยังยืนหยัดใช้กติกาเป็นฐานในการเดินหน้า แม้จะต้องเผชิญกับแรงต้านในทุกย่างก้าว
การเมืองไทยยังไม่ตัน หากยังกล้าคิดและกล้าเดิน
ช่วงท้ายของเวที ถูกใช้ยืนยันอีกครั้งว่า ประเทศไทยยังไม่ถึงทางตัน ปัญหาทุกข้อมีทางออก หากยังไม่หยุดคิด ไม่หยุดหาทางเดิน และไม่ยอมให้อำนาจใดครอบงำเกินขอบเขตกติกา
บทบาทของอดีตนายกรัฐมนตรีในวันนี้อาจเปลี่ยนสถานะ แต่ยังคงมีบทบาทในการเฝ้ามอง ช่วยคิด และส่งสัญญาณไปยังผู้ถืออำนาจ ว่าการเมืองไม่ควรย่ำอยู่กับที่ และไม่มีใครควรใหญ่กว่ากติกา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง