กัมพูชาปรามแก๊งไซเบอร์สแกม แบบขายผ้าเอาหน้ารอด
สำนักข่าวอัลจาซีระห์ รายงานวันที่ 17 กรกฎาคม ว่าฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกคำสั่งถึงผู้รักษากฎหมาย เรื่อง “ป้องกันและปราบปรามไซเบอร์สแกม (ฉ้อโกงหลอกลวงออนไลน์) อย่างเฉียบขาด ผู้ที่ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้จะตกงาน” คำสั่งที่ออกเป็นแถลงการณ์แพร่หลายสู่ที่สาธารณชนในกัมพูชาเมื่อวันอังคารที่ 8 กรกฎาคม 2568
รัฐมนตรีกระทรวงข่าวสารกัมพูชา นายเนธ เพียกตราบอกกับสำนักข่าวอัลจาซีระห์ว่าหนึ่งวันหลังจากฮุน มาเนต ออกคำสั่ง เจ้าหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และตำรวจท้องถิ่นออกปฏิบัติการกวาดล้างแหล่งไซเบอร์สแกม 5 จังหวัด ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 9 ถึง 11 กรกฎาคม และเจ้าหน้าที่จับกุมผู้ต้องหาจากหลายสัญชาติได้กว่า 10,000 คน
รัฐมนตรีข่าวสารจำแนกรายละเอียดว่า…การบุกตรวจค้นปราบปรามในอาคารที่พักอาศัยและอาคารอเนกประสงค์หลายจุดในกรุงพนมเปญ พร้อมๆ กับปฏิบัติการในจังหวัดสีหนุวีลล์ เจ้าหน้าที่จับกุมผู้ต้องหาชาวเวียดนาม 200 คน ชาวไต้หวัน 75 คน จีนแผ่นดินใหญ่27 คน และชาวกัมพูชา 85 คน พร้อมทั้งยึดคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์หลายร้อยเครื่องไว้ตรวจสอบ
ในวันที่ 9 เช่นกัน ตำรวจท้องถิ่นสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่จากส่วนกลาง ตรวจค้นอาคารที่สงสัยในเมืองปอยเปต ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดของแก๊งไซเบอร์สแกม ในประเทศกัมพูชา ที่อยู่ใกล้ชายแดนไทย เจ้าหน้าที่จับกุมผู้ต้องหาชาวอินโดนีเซีย 270 คน ในจำนวนเป็นสตรี 45 คน
สาเหตุที่จับกุมผู้ต้องหาเฉพาะชาวอินโดนีเซีย อาจเป็นเพราะลูกจ้างกาสิโนและแก๊งคอลเซ็นเตอร์อื่นๆ ออกจากปอยเปต ตั้งแต่หน่วยงานมั่นคงไทยเข้มงวด ด่านผ่านเข้า-ออกระหว่างด่านคลองลึก อรัญประเทศกับเมืองปอยเปต ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ระดับบริหารกาสิโนของคนไทยบอกแนวหน้าว่าบ่อนการพนันออนไลน์ของมาเลเซีย และ ของอินโดนีเซีย ยังคงให้ลูกจ้างอยู่ดูแลบ่อนในปอยเปต เจ้าหน้าที่ปราบปรามไซเบอร์สแกม จึงจับกุมได้แต่ผู้ต้องหาชาวอินโดนีเซียแหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า อาจเป็นไปได้เช่นกันว่า เจ้าของบ่อนจัดฉากให้จับกุมเพื่อโชว์ผลงานรัฐบาลฮุน มาเนต
วันที่ 11 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่บุกตรวจค้นอาคารต้องสงสัยในจังหวัดกระตี่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ จับกุมผู้ต้องหา 312 คน รวมทั้งสัญชาติไทย บังกลาเทศ อินโดนีเซีย พม่า และเวียดนาม ในขณะที่ผู้ต้องหา 27 คน รวมทั้ง คนจีน เวียดนามและพม่าถูกจับที่จังหวัดโพธิสัตว์
รัฐมนตรีข่าวสาร กล่าวว่า นายกรี สีหะ รองอัยการจังหวัดกระตี่ ถูกรัฐมนตรียุติธรรมสั่งพักงานระหว่างการสอบสวนในข้อหาอาจเกี่ยวข้องกับไซเบอร์สแกม เนื่องจากมีรายงานว่าเขาปล่อยผู้ต้องหาคนสำคัญอย่างมีเลศนัย
รัฐมนตรีข่าวสาร กล่าวด้วยว่า การบุกทลายแก๊งไซเบอร์สแกม ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามอย่างต่อเนื่อง แต่นักวิจารณ์และรัฐบาลวอชิงตัน กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยในการป้องกันและปรามปรามไซเบอร์สแกม เนื่องจากการทุจริตคอร์รัปชั่นภายในรัฐบาล
เดือนกันยายน 2567 รัฐบาลสหรัฐแซงก์ชั่นยึดทรัพย์สิน นายลี ยงพัด (Ly Yong Phat) ในอเมริกา ลี ยงพัด เป็นนักธุรกิจใหญ่คนสนิทครอบครัวนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ข้อหาค้ามนุษย์ บังคับใช้แรงงานทาสในกิจการไซเบอร์สแกม
ข้อมูลในวิกิพีเดีย ระบุว่า ออกญาลี ยงพัด มีชื่อไทยว่านายพัด สุภา เป็นสมาชิกวุฒิสภา และนักธุรกิจกัมพูชาเชื้อสายจีน ในเกาะกง ลี ยงพัด เป็นเจ้าของบริษัท LYP กรุ๊ป บริษัทขนาดใหญ่ในกัมพูชา ซึ่งดำเนินธุรกิจหลากหลาย ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ นิคมอุตสาหกรรม บ่อนกาสิโน ยาสูบ พลังงาน ไฟฟ้า การท่องเที่ยว ฯลฯ ธุรกิจของ ลียงพัด มักเกี่ยวข้องกับข้อครหา เช่น บังคับใช้แรงงานเด็ก บังคับไล่ที่ดินรวมทั้งมีความ#สัมพันธ์อันดีกับทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
ไม่ทราบว่าวิกิพีเดียระบุว่าผู้ต้องหาคนสำคัญที่สหรัฐยึดทรัพย์แซงก์ชั่นมีความสัมพันธ์ที่ดีกันนายทักษิณมีนัยอะไรหรือไม่
อัลจาซีระห์ อ้างรายงานสหประชาชาติว่า ตั้งแต่โควิด-19 ระบาดไซเบอร์สแกมก็ระบาดอย่างรวดเร็วในประเทศกัมพูชา อาคารที่พักอาศัยและอาคารอเนกประสงค์หลายร้อยหลังทั่วประเทศตกอยู่ภายใต้การควบคุมของแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติชาวจีนใช้สำหรับบังคับกองทัพ สแกมเมอร์ ทำงาน
พวกแรงงานทาสเหล่านี้ถูกบังคับให้ทำหน้าที่ หลอกให้รัก (Romance scam) และหลอกให้ลงทุน กับเหยื่อทั่วโลกที่ถูกโกงไปนับหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และลูกจ้างแรงงานทาส
ก็ถูกล่อลวงด้วยการเสนองานดี มีรายสูงมาติดกับแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ ที่เมื่อติดกับแล้วถูกบังคับให้ทำงาน ถูกทรมานหรือฆ่าตายหากแรงงานทาสพยายามหนี
สหประชาชาติประมาณการว่า แรงทาสไซเบอร์ สแกม ในกัมพูชามีมากกว่า 100,000 คน และเป็นแรงงานส่วนใหญ่ในแหล่งไซเบอร์สแกม ที่กระจายอยู่หลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่หลอกเอาเงินเหยื่อทั่วโลกประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
อัลจาซีระห์รายงานด้วยว่า เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์กล่าวหารัฐบาลกัมพูชาว่า “ละเลยไม่สนใจต่อคำร้องเรียนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งค้ามนุษย์ ใช้แรงงานทาสใช้แรงงานเด็ก และการทรมานที่กระทำโดยแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติอย่างกว้างขวาง ในอาคารที่เป็นแหล่ง Cyber Scam กว่า 50 แห่งทั่วประเทศกัมพูชา”
หลังจากแถลงการณ์ของแอมเนสตี้ฯ แพร่สู่สาธารณะ โฆษกทำเนียบขาว แถลงว่า “รัฐบาลสหรัฐร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคปราบปราม Cyber Scam ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
คงเป็นเพราะแถลงการณ์ของแอมเนสตี้ฯและสหรัฐประกาศร่วมมือกับประเทศอาเซียน ป้องกันและปราบไซเบอร์สแกม ทำให้ฮุน มาเนต ร้อนก้นนั่งบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไม่ติด ทำขึงขังสั่งปราบไซเบอร์สแกมและแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติที่มีอยู่ดาษดื่นทั่วประเทศกัมพูชา ซึ่งตระกูลฮุน ปล่อยให้ระบาดมานาน เนื่องจากไซเบอร์สแกมสร้างรายได้ให้กัมพูชามากกว่าอุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้า และการท่องเที่ยวซึ่งเคยเป็นรายได้หลักของกัมพูชา ที่สำคัญรายได้จากไซเบอร์สแกม ตกอยู่ในมือเฉพาะกลุ่มคนระดับบริหารเท่านั้น
แต่เมื่อถูก “หวัง อี้” รมว.ต่างประเทศจีน จี้เขมร ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศทวิภาคี ให้กำจัดอาชญากรรมออนไลน์ ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวง ฉ้อโกงออนไลน์ เป็นเสมือน “เนื้องอก” ที่คู่กับประเทศกัมพูชาให้หมดไปเสียเพราะเป็นอุปสรรคในการพัฒนาความสัมพันธ์กับจีนและชาติอื่นๆ
ประกอบกับถูกกดดันจากสหรัฐ และเกิดความขัดแย้งรุนแรงกับสหายคนไทยที่เคยได้ผลประโยชน์ร่วมกัน รัฐบาล ฮุน มาเนต จำเป็นต้องปราบปรามไซเบอร์สแกม พอเป็นพิธี เหมือนแก้ผ้าเอาหน้ารอดชั่วคราว
สุทิน วรรณบวร