จับตาสรรหา ผ.อ.ออมสิน คนใหม่ สานต่อภารกิจแก้หนี้-แบงก์เพื่อสังคม
ภายหลังจากที่นายวิทัย รัตนากร ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินในวันที่ 25 ก.ค. 2568 เพื่อ เข้าไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันที่ 1 ต.ค. 2568
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีผู้นำองค์กรของธนาคารออมสินที่ชัดเจน เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นไปอย่างราบรื่น โดยที่ผ่านมาธนาคารออมสินมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐ ในการสนับสนุนมาตรการเงินที่สำคัญในช่วงเวลาวิกฤติ อาทิ การออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ มาตรการพักชำระหนี้
ทั้งนี้ จึงได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้อำนวยการธนาคารออมสินคนใหม่ขึ้นมาแล้ว โดยมีนายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ เป็นประธาน และคาดว่าจะเร่งดำเนินการสรรหากระบวนการทั้งหมดให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อให้มีผู้เข้ามาบริหารงานโดยไม่เกิดภาวะสุญญากาศ
แหล่งข่าวจากธนาคารออมสินเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินมักเป็นบุคคลภายนอกองค์กร อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมการทำงานของธนาคารออมสินเปิดกว้างและพร้อมให้การต้อนรับผู้ที่มีคุณสมบัติและความสามารถอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นคนในหรือคนนอกองค์กร หากมีความพร้อมและศักยภาพที่จะเข้ามาร่วมขับเคลื่อนภารกิจที่สำคัญนี้ ธนาคารก็พร้อมที่จะร่วมงานด้วย
ทั้งนี้ ธนาคารออมสินถือเป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยมี ขนาดสินทรัพย์รวมเกือบเทียบเท่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายและความรับผิดชอบในตำแหน่งผู้อำนวยการคนใหม่นี้
ภารกิจสำคัญเร่งด่วนที่ผู้อำนวยการธนาคารออมสินคนใหม่จะต้องเข้ามาสานต่อและให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือ การรับนโยบายจากรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน ธนาคารออมสินในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ มีบทบาทสำคัญในการเป็นกลไกหลักในการช่วยบรรเทาภาระหนี้สินให้แก่ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการคนใหม่ยังต้องผลักดันนโยบายการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มฐานราก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน แต่เข้าถึงได้ยากจากสถาบันการเงินทั่วไป การสนับสนุนสินเชื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้เป็นไปเพื่อส่งเสริมการสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
ภารกิจสานต่อ "ธนาคารเพื่อสังคม" และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การสานต่อภารกิจการเป็น "ธนาคารเพื่อสังคม" (Social Bank) ซึ่งเป็นทิศทางที่ธนาคารออมสินได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะองค์กรที่ไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่ผลกำไร แต่ยังต้องสร้างผลลัพธ์ทางสังคมที่ดีขึ้น
ที่ผ่านมา ธนาคารออมสินได้มีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การวัดผลการดำเนินงาน (KPI) โดยเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นกำไรสูงสุด เป็นการมุ่งเน้นการสร้างกำไรในระดับที่พอสมควร ควบคู่ไปกับการให้ความช่วยเหลือสังคม ซึ่งเป็นการตอกย้ำบทบาทของการเป็นธนาคารเพื่อสังคมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ถึงแม้จะมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ดังกล่าว ธนาคารออมสินก็ยังคงเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรนำส่งหรือสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลสูงสุด สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารจัดการและสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรและการทำประโยชน์เพื่อสังคม
การดำเนินการในฐานะโซเชียลแบงก์ของธนาคารออมสิน เป็นการ นำกำไรที่ได้จากธุรกิจเชิงพาณิชย์ อาทิ สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดำเนินงานควบคู่กันไป เพื่อมาสนับสนุนภารกิจเพื่อสังคม ได้แก่ โครงการต่างๆ ที่มุ่งช่วยเหลือและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในวงกว้าง เช่น สินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส สำหรับผู้ที่ไม่มีประวัติทางการเงิน มาตรการพักชำระหนี้ เพื่อบรรเทาภาระลูกหนี้ในช่วงเวลาวิกฤติ หรือ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ
ภารกิจเหล่านี้ล้วนเป็นบทบาทสำคัญที่ผู้อำนวยการธนาคารออมสินคนใหม่จะต้องเข้ามาสานต่อและผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
เปิดคุณสมบัติคัดเลือก ผอ.ออมสิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการสรรหาผู้อำนวยการออมสินครั้งก่อนหน้า ปี 2563 กรรมการฯ มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้สมัคร ดังนี้
- ผู้สมัครต้องเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยอายุไม่เกิน 58 ปีบริบูรณ์ ในวันยื่นใบสมัคร
- ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่เคยเป็นบุคคล ล้มละลายทุจริตไม่เคยถูกไล่ออกปลดออกหรือให้ออกจากงานเพราะทุจริตต่อหน้าที่ไม่เป็นข้าราชการการเมือง
- ไม่เป็นกรรมการธนาคารออมสินยกเว้นเป็นผู้บริหารซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง
- ไม่เป็นผู้มีลักษณะต้องห้าม ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่สกส.13/2562 ด้านความซื่อสัตย์สุจริตและชื่อเสียงด้านความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ รวมทั้งด้านสถานะทางการเงิน
- มีวุฒิการศึกษาสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรีที่สำนักงาน ก.พ.ให้การรับรอง เป็นต้น
ขณะที่คุณสมบัติเฉพาะนั้นต้องมีความรู้ความสามารถด้านเศรษฐกิจการเงินการตลาดและการ ธนาคารเป็นอย่างดีมีวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการองค์กรมีภาวะความเป็นผู้นำสูงมีความรอบรู้และประสบการณ์ใน การบริหารจัดการองค์กร
โดยกรณีที่เป็นหรือเคยเป็นผู้บริหารจากส่วนราชการรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นใดของ รัฐต้องดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองผู้บริหารสูงสุดขององค์กรและมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งนั้นรวมกันไม่น้อย กว่า 1 ปี นับถึงวันที่ยื่นใบสมัคร
กรณีเป็นหรือเคยเป็นผู้บริหารจากหน่วยงานภาคเอกชนต้องดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองผู้บริหารสูงสุดขององค์กรที่มีรายได้ขององค์กร ไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาทต่อปีหรือเคยบริหารกิจการที่มี สินทรัพย์ขององค์กรไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาท ทั้งนี้ต้องมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองผู้บริหารสูงสุดขององค์กรนั้นต่อเนื่องกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันที่ยื่นใบสมัคร