พระเจ้าอโศกมหาราช สึกพระอลัชชีครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ 60,000 รูป!
พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ผู้ชำระพระศาสนา กับเหตุการณ์สึกพระครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ 60,000 รูป สู่การสังคายนาพระไตรปิฎกและเผยแผ่ธรรมครั้งยิ่งใหญ่
ในหน้าประวัติศาสตร์พุทธศาสนา มีเรื่องราวของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อว่า พระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะ ผู้ทรงพลิกโฉมอินเดียจากแผ่นดินแห่งสงคราม สู่ศูนย์กลางแห่งธรรมะ ด้วยพระราชศรัทธาอันแรงกล้า พระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ที่สำคัญที่สุดในการปฏิรูปและเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์และแผ่ไพศาลไปทั่วโลก
จุดเริ่มต้นวิกฤต เมื่ออลัชชีคืบคลานเข้าสู่สังฆมณฑล
ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกฯ พระองค์ทรงให้การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ ทั้งการสร้างวัด วิหาร พระสถูป และถวายปัจจัยสี่แก่พระภิกษุสงฆ์อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หวังให้พระสงฆ์ได้บำเพ็ญสมณธรรมอย่างเต็มที่และนำพาคำสอนอันบริสุทธิ์ไปสู่พุทธบริษัท แต่ทว่า… ความอุดมสมบูรณ์นี้กลับกลายเป็นดาบสองคม
มีพวก นักบวชนอกศาสนา จำนวนมากแฝงตัวเข้ามาปลอมบวชในพุทธศาสนา เพื่อแสวงหาลาภสักการะ พวกเขาไม่เพียงแต่ประพฤติผิดธรรมวินัย แต่ยังคงสั่งสอนลัทธิเก่าของตน โดยอ้างว่าเป็นคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้พระธรรมที่บริสุทธิ์ถูกบิดเบือนเกิดเป็น "สัทธรรมปฏิรูป" สร้างความสับสนแตกแยกในหมู่สงฆ์และทำให้พุทธศาสนิกชนเริ่มเสื่อมศรัทธา
7 ปีแห่งความเงียบงัน วิกฤตการณ์อุโบสถกรรม
ความมัวหมองที่คืบคลานเข้าสู่ศาสนา สร้างความระอาใจอย่างยิ่งแก่ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ผู้เป็นปราชญ์และประธานสงฆ์ในขณะนั้น ท่านจึงปลีกวิเวกไปบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำอุโธตังคบรรพตนานถึง 7 ปี
ในห้วงเวลานั้น จำนวนพระอลัชชีมีมากกว่าพระภิกษุผู้บริสุทธิ์อย่างชัดเจน จนกระทั่งพระภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ไม่ยอมร่วมทำ "อุโบสถกรรม" (การประชุมสวดปาติโมกข์ของพระสงฆ์) ร่วมกับอลัชชีเหล่านั้น กิจกรรมสำคัญของคณะสงฆ์จึงต้องหยุดชะงักไปนานถึง 7 ปี!
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงทราบถึงความแตกแยกและหยุดชะงักของสงฆ์ ก็ทรงไม่สบายพระทัยเป็นอย่างยิ่ง มีพระประสงค์ให้พระสงฆ์กลับมาสามัคคีกัน จึงมีพระบัญชาให้อำมาตย์ไปจัดการ แต่ด้วยความเข้าใจผิดในพระธรรมวินัย อำมาตย์กลับตีความพระราชโองการเกินเลย ด้วยการบังคับให้พระภิกษุบริสุทธิ์ทำอุโบสถกรรมร่วมกับพระอลัชชี เมื่อถูกปฏิเสธ อำมาตย์ผู้มืดบอดก็ถึงขั้นตัดศีรษะพระภิกษุผู้บริสุทธิ์ไปหลายองค์!
ทันทีที่ทรงทราบข่าวนี้ พระเจ้าอโศกฯ ทรงตกพระทัยและเสียพระทัยอย่างที่สุด รีบเสด็จไปขอขมาโทษต่อพระภิกษุที่อาราม และทรงวิตกถึงบาปกรรมอันหนักหน่วงที่อาจจะตกมาถึงพระองค์ ด้วยความปรารถนาที่จะได้รับคำตอบอันแจ่มแจ้ง พระองค์จึงทรงอาราธนา พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ให้กลับมายังเมืองปาฏลีบุตร ด้วยความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวดของพระองค์ ในที่สุดพระเถระก็ยอมมา และเมื่อมาถึง พระเจ้าอโศกฯ ทรงแสดงความเคารพสูงสุด โดยเสด็จลุยน้ำไปรับพระเถระด้วยพระองค์เอง
เมื่อทรงได้สนทนาและถวายถามถึงบาปกรรม พระเถระก็ได้ไขข้อสงสัยว่า"มหาบพิตร จะเป็นบาปได้ก็ต่อเมื่อพระองค์มีเจตนาที่จะฆ่าเท่านั้น" คำวิสัชนาอันแจ่มแจ้งนี้ ทำให้พระองค์ทรงสบายพระทัยและตระหนักถึงความจำเป็นในการชำระพระศาสนาอย่างแท้จริง
จากนั้น พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้ถวายเทศนาธรรมอันลึกซึ้งแก่พระเจ้าอโศกฯ จนพระองค์ทรงซาบซึ้งและเลื่อมใสยิ่งขึ้น ในวันที่ 7 ของการประทับ ณ อุทยาน เพื่อชำระพระศาสนา พระองค์ได้ประกาศให้พระภิกษุทั่วชมพูทวีปมาประชุมกันที่อโศการาม เพื่อทำการชำระความบริสุทธิ์ โดยให้พระภิกษุแต่ละนิกายอธิบายคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อพบว่าพระอลัชชีเหล่านั้นอธิบายคำสอนผิดเพี้ยนไปตามลัทธิของตน พระเจ้าอโศกมหาราชจึงมีพระบัญชาให้"สึกพระอลัชชีเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งมีจำนวนมากถึง 60,000 รูป!" นี่คือการกวาดล้างครั้งประวัติศาสตร์ที่ทำให้พระพุทธศาสนากลับคืนสู่ความบริสุทธิ์อีกครั้ง
การสังคายนาครั้งที่ 3 และการเผยแผ่พระธรรมสู่สากล
หลังจากกำจัดพระอลัชชีออกไปจนหมดสิ้นแล้ว พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงได้รวมพระอรหันต์ 1,000 รูป ประชุมร่วมกันนาน 9 เดือน เพื่อจัดการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 ขึ้น ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร โดยได้รับพระราชูปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างเต็มที่ การสังคายนาครั้งนี้ไม่เพียงแต่ชำระพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์ แต่ยังนำไปสู่ยุคทองแห่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
หลังจากการสังคายนาเสร็จสิ้น พระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่ง คณะสมณทูต 9 สาย ไปยังแคว้นและประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อประกาศพระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการ โดยมีสายสำคัญดังนี้
คณะพระมหินทเถระ (โอรสของพระเจ้าอโศกฯ) นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานที่ เกาะสิงหล (ศรีลังกา) เป็นครั้งแรก
คณะพระโสณเถระ และพระอุตตรเถระ นำพระพุทธศาสนามายัง สุวรรณภูมิ (ประเทศไทย เมียนมา ลาวในปัจจุบัน)
การตัดสินใจอันยิ่งใหญ่และการทุ่มเทของพระเจ้าอโศกมหาราช ไม่เพียงแต่ทำให้พระพุทธศาสนากลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แผ่ขยายออกไปนอกชมพูทวีป และยังคงสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ พระองค์จึงได้รับการยกย่องว่าเป็น "มหาราชผู้ทรงธรรม" อย่างแท้จริง!