สปสช. ยันงบผู้ป่วยในคงเดิม ย้ำตรวจสอบเวชระเบียนเป็นมาตรฐานเบิกจ่าย
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะโฆษก สปสช. กล่าวถึงกรณี นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ Facebook ระบุว่า รพ.รัฐเตรียมคืนเงิน สปสช. 4,000 ล้านบาท เนื่องมาจากการสุ่มตรวจสอบเวชระเบียน ว่าสปสช. ขอชี้แจงว่าการสุ่มตรวจสอบเวชระเบียนดังกล่าวนั้นเป็นไปตามมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ดสปสช.) เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ที่เห็นชอบการนำผลตรวจสอบมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาจ่ายค่าใช้จ่ายบริการผู้ป่วยในทั่วไปให้แก่หน่วยบริการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเบิกจ่ายค่าบริการสาธารณสุขและความเป็นธรรมในระบบ และการสุ่มตรวจสอบ 3% นั้น สปสช. ดำเนินการตามประกาศซึ่งมีการแจ้งตั้งแต่ต้นปีและเคยดำเนินการมา
และได้ขอคำแนะนำจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในการดำเนินการและต้องมีการคำนวณค่าความเชื่อมั่น (Confidence Interval) ที่ 95% ด้วย
ทพ.อรรถพร กล่าวต่อว่า จากผลการตรวจสอบพบว่า แพทย์ที่ทำหน้าที่บันทึกและสรุปเวชระเบียนผู้ป่วยในมีทั้งการบันทึกที่น้อยกว่าการให้บริการจริง และบันทึกมากกว่าการให้บริการจริง ดังนั้นเพื่อให้เป็นผลงานที่แท้จริง กรณีที่พบว่า บันทึกน้อยกว่าการให้บริการจริงสปสช. ก็จะปรับเพิ่มผลงานในส่วนที่เบิกมาขาด ซึ่งกลุ่มนี้จะได้รับงบประมาณเพิ่มตามผลงานที่ทำมาจริง แต่กรณีที่บันทึกมากกว่าการให้บริการจริง สปสช. ก็จะปรับลดผลงานในส่วนที่เบิกมาเกิน เพื่อให้เป็นผลงานที่แท้จริง
“และในช่วงปลายปีงบประมาณ หากงบผู้ป่วยในยังมีเงินคงเหลือหลังจากการให้บริการจริงแล้วสปสช. ก็จะโอนงบส่วนนี้ให้กับ รพ.ทั้งหมด แต่หากงบประมาณไม่พอตามผลงานการให้บริการจริงสปสช. ก็จะทำเรื่องเสนอของบประมาณจากสำนักงบประมาณและรัฐบาลต่อไป โดยอ้างอิงจากฐานข้อมูลการให้บริการจริงที่ผ่านมาตรฐานการตรวจสอบมาแล้ว ดังนั้นจะเห็นได้ว่า งบประมาณผู้ป่วยในที่อยู่ในส่วนของการปรับลดหรือเพิ่มผลงานยังคงอยู่ในงบประมาณรวมผู้ป่วยในทั้งหมด ไม่ได้อยู่ที่ สปสช. จึงไม่ใช่ รพ.เตรียมคืนเงินให้กับ สปสช. แต่อย่างใด” โฆษก สปสช. กล่าว
ทพ.อรรถพร กล่าวว่า การที่บอร์ดสปสช. มีมติให้ดำเนินการเช่นนี้ ก็เพื่อพัฒนามาตรฐานการเบิกจ่ายค่าบริการสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีความเป็นธรรม และการบันทึกเวชระเบียนก็เป็นหนึ่งในมาตรฐานของวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ต้องทำให้ถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ในต่างประเทศดำเนินการเช่นนี้อยู่แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ไม่หวังดีอาศัยช่องโหว่มาเบิกจ่ายเกินกว่าที่ให้บริการ และให้ความเป็นธรรมกับ รพ.ที่บันทึกข้อมูลน้อยกว่าการให้บริการจริงให้ได้รับเงินชดเชยการบริการอย่างยุติธรรมด้วย