เปิดขายคอนโดต่ำสุดรอบ16 ปีหดตัว 94.2% ต่ำกว่าช่วงโควิด
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญแรงสั่นสะเทือน แต่สถิติในไตรมาส 2 ปี 2568 ทำให้หลายฝ่ายต้องหันกลับมาทบทวนกลยุทธ์อีกครั้ง เมื่อฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เผยว่า จำนวนยูนิตคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ ลดลงเหลือเพียง 373 หน่วย ซึ่งถือเป็น ระดับต่ำที่สุดในรอบกว่า 16 ปี หรือเทียบเท่าปี 2552 ที่ตลาดเพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตซับไพรม์
ตัวเลขนี้ลดลงถึง 94.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และยังต่ำกว่าช่วงไตรมาส 2 ของปี 2563 ที่ภาคอสังหาฯ ซบเซาสุดจากวิกฤตโควิด-19
“นี่ไม่ใช่แค่การชะลอตัวตามฤดูกาล แต่คือสัญญาณที่สะท้อนความลังเลของผู้ซื้อ และการตัดสินใจอย่างระมัดระวังของผู้พัฒนา” ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
แม้มีการฟื้นตัวเล็กน้อยในช่วงปี 2565–2566 แต่ก็ไม่สามารถกลับสู่ระดับก่อนวิกฤติได้ และการหดตัวครั้งนี้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยการเปิดขายคอนโดในไตรมาส 2 ของช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมักอยู่ในระดับ 8,000–12,000 ยูนิตต่อไตรมาส
เบื้องหลังความเงียบ
ปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังการหดตัวในปี 2568 ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว แต่เป็นผลพวงจากหลายแรงกดดัน ทั้ง
- อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้กำลังซื้อของกลุ่ม Real Demand ถูกจำกัด
- ต้นทุนการพัฒนาโครงการเพิ่มขึ้น จากราคาวัสดุก่อสร้างและราคาที่ดิน
- ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐ ที่ยังขาดความชัดเจน
จึงไม่แปลกที่ผู้พัฒนาจำนวนมากเลือกจะ "ชะลอ" การเปิดตัวโครงการใหม่ หันมาเน้นการบริหารสต็อกและกระแสเงินสดแทน
อนาคตอยู่ที่ความพร้อม…และจังหวะ
คอลลิเออร์สยังคงมองเห็นโอกาสในวิกฤต โดยเชื่อว่า ช่วงครึ่งปีหลัง อาจเห็นการฟื้นตัวได้ หากมี แรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ เช่น การลดดอกเบี้ย หรือมาตรการส่งเสริมการซื้อบ้านครั้งแรก
“ความเงียบในวันนี้ อาจกลายเป็นแรงส่งในวันพรุ่งนี้ หากจังหวะและเงื่อนไขเหมาะสม”
แนวโน้มการพัฒนาโครงการในอนาคตจึงจะเน้นไปที่ ทำเลที่มีดีมานด์ชัดเจน เช่น ย่านใจกลางเมือง แนวรถไฟฟ้า หรือพื้นที่ที่รัฐมีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับพรีเมียม ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารมืออาชีพ หรือ นักลงทุนต่างชาติ
เวลาทองของผู้ซื้อที่ “พร้อม”
แม้ภาพรวมจะดูท้าทาย แต่สำหรับผู้ซื้อที่มีความพร้อมทางการเงิน เวลานี้ถือเป็น “โอกาสทอง” ที่อาจไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก เนื่องจากผู้พัฒนาพร้อม “เจรจา” ด้วยข้อเสนอที่ดีกว่าปกติ ทั้งโปรโมชั่น ส่วนลด และเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ยืดหยุ่นขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อควรให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐาน เช่น ชื่อเสียงของผู้พัฒนา ความน่าเชื่อถือในการส่งมอบโครงการ และ ศักยภาพของทำเลในอนาคต