ส่องปลายทางเส้นเงิน "ภาษีทรัมป์" รายได้แสนล้าน ใครได้ประโยชน์
มาตรการกำแพงภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งเป็นการเปิดฉากความปั่นป่วนครั้งใหม่ให้กับการค้าโลก และสร้างภาระต้นทุนใหม่ให้กับภาคธุรกิจและผู้บริโภคชาวอเมริกัน
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ชี้ว่า มาตรการดังกล่าวอาจนำมาซึ่งรายได้มหาศาลให้กับประเทศเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ สมาชิกรัฐสภาจากพรรครีพับลิกันต่างคาดหวังว่านโยบายกำแพงภาษีของรัฐบาลจะสามารถสร้างรายได้เพื่อช่วยชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่เกิดจากกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับใหม่
ซึ่งคาดว่าจะทำให้หนี้สาธารณะของประเทศพุ่งสูงขึ้นกว่า 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า
สำนักข่าว The Washington Post ได้รายงานบทวิเคราะห์ที่เจาะลึกถึงประเด็นสำคัญว่า กำแพงภาษีในสมัยของโดนัลด์ ทรัมป์
จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่สหรัฐอเมริกาได้อย่างไร และที่สำคัญ ใครคือผู้ที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายดังกล่าว
ภาษีทรัมป์ทำเงินให้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้แค่ไหน?
โฮเวิร์ด ลัทนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Fox Business ว่า
ภาษีนำเข้าล็อตใหม่นี้คาดว่าจะสร้างรายได้ให้รัฐบาลสหรัฐฯ "อย่างน้อย 5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน"
ลัทนิกยังเผยว่า มาตรการที่บังคับใช้ไปก่อนหน้า ก็ทำเงินไปแล้วถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนที่ผ่านมา
และหากนับรวมกำแพงภาษีที่จะใช้กับสินค้ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และเวชภัณฑ์ในอนาคต ตัวเลขรายได้รวมอาจพุ่งสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์
"ทุกคนรู้ดีว่าถ้าอยากขายของ ก็ต้องขายให้คนอเมริกัน ผู้บริโภคอเมริกันคือหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจโลก และโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังใช้ความได้เปรียบนี้เพื่อผลประโยชน์ของคนอเมริกัน"
ข้อมูลจากหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ (CBP) ผู้ทำหน้าที่เก็บเงินภาษีโดยตรง รายงานเมื่อปลายเดือนมิถุนายนว่า
นับตั้งแต่ทรัมป์ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี ได้จัดเก็บภาษีนำเข้าไปแล้วทั้งสิ้น 8.15 หมื่นล้านดอลลาร์
ซึ่งเงินก้อนนี้ส่วนใหญ่มาจากบริษัทผู้นำเข้า และท้ายที่สุดก็มักจะถูกผลักภาระเป็นราคาสินค้าที่สูงขึ้นมายังผู้บริโภคชาวอเมริกันนั่นเอง
ปลายทางเงินจากภาษีทรัมป์ ไปอยู่ที่ไหน?
ตามกระบวนการ บริษัทที่นำเข้าสินค้ามายังสหรัฐฯ จะเป็นผู้ชำระภาษีที่ด่านศุลกากร
จากนั้นเงินทั้งหมดจะถูกส่งเข้า"กองทุนทั่วไปของกระทรวงการคลัง" (General Fund) ซึ่งเปรียบเสมือนกระเป๋าเงินรวมของประเทศ โดยสภาคองเกรสจะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจว่าจะนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายในเรื่องใด
เป้าหมายหลักที่ประธานาธิบดีทรัมป์และ สส. ส่วนใหญ่จากพรรครีพับลิกันประกาศไว้ คือการนำเงินก้อนนี้ไป"โปะหนี้ขาดดุลงบประมาณ" ของประเทศที่มีมูลค่าสูงถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเคยโยนไอเดียเรื่องการทำ"เช็คเงินคืน" (Rebate Checks) ส่งกลับให้ชาวอเมริกันโดยตรง แต่แนวคิดนี้ยังต้องรอให้สภาคองเกรสอนุมัติเป็นกฎหมายต่อไป
สหรัฐฯ เคยใช้มาตรการกำแพงภาษีมาก่อนหรือไม่?
มาตรการกำแพงภาษีที่บังคับใช้ในยุคของรัฐบาลทรัมป์ ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดที่สหรัฐฯ เคยนำมาใช้นับตั้งแต่ ยุคภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression)
ย้อนกลับไปในปี 1930 ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ซบเซาทั่วประเทศ สภาคองเกรสได้อนุมัติ "กฎหมายภาษีสมูท-ฮอว์ลีย์" (Smoot-Hawley Tariff Act) เพื่อตั้งกำแพงภาษีในอัตราสูงลิ่วกับสินค้านำเข้าหลายหมื่นรายการ หวังปกป้องธุรกิจในประเทศ
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการจุดชนวนให้เกิดการตอบโต้ทางการค้าจากนานาชาติและทำให้การค้าโลกชะลอตัวลงอย่างรุนแรง
จนกระทั่งปี 1932 อดีตประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ ต้องชูนโยบายลดกำแพงภาษีเพื่อหาเสียง
และในปี 1934 สภาคองเกรสจึงได้มอบอำนาจให้ประธานาธิบดีสามารถเจรจาลดอัตราภาษีกับต่างประเทศได้อีกครั้ง