"สื่อ BBC" แพร่บทความ แฉเขมร ใช้นักรบโซเชียล ปั่นข้อมูลเท็จใส่ร้ายไทย
BBC แพร่บทความ แฉยับเขมรใช้นักรบโซเชียลปั่นข้อมูลเท็จใส่ร้ายไทย ทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่งวาง ฮุนเซน-ฮุนมาเนต ได้ประโยชน์ทางการเมืองจากการแสดงตนเป็นผู้ปกป้องผืนแผ่นดินได้ สร้างความปั่นป่วนให้รัฐบาลกัมพูชาไม่น้อย เมื่อบีบีซี สื่อชื่อดังของอังกฤษ ได้เผยแพร่บทความเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างไทยกัมพูชาตอนหนึ่งว่า ข้อพิพาทชายแดนที่ดำเนินมายาวนานนับศตวรรษทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมากด้วยการยิงจรวดของกัมพูชาถล่มประเทศไทยในเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม ตามมาด้วยการโจมตีทางอากาศของไทย นับแต่นั้นมากองทัพนักรบโซเชียลมีเดียชาวกัมพูชา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสื่อภาษาอังกฤษที่รัฐควบคุม ได้ปล่อยข้อกล่าวหาและรายงานที่ยั่วยุมากมาย ซึ่งหลายกรณีกลับกลายเป็นเท็จ ขณะนี้ประเทศไทยกำลังโต้แย้งแนวคิดของกัมพูชาด้วยแนวคิดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นคือ การใช้ทุ่นระเบิด ข้อกล่าวหาของไทยที่ว่าทหารกัมพูชาได้วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ตามแนวชายแดน ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บหลายนาย จึงเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจสำหรับรัฐบาลพนมเปญ
ในตอนแรก กัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยอ้างว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เป็นทุ่นระเบิดเก่าที่หลงเหลือจากสงครามกลางเมืองในช่วงทศวรรษ 2520 จากนั้นรัฐบาลไทยได้นำคณะนักการทูตและนักข่าวไปยังชายแดน เพื่อแสดงให้พวกเราเห็นสิ่งที่พวกเขาค้นพบเราเห็นทหารไทยอยู่ในบังเกอร์พรางตัวซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้ ในบรรดาอาวุธเหล่านั้นมีแผ่นพลาสติกสีเขียวหนาๆ หลายสิบแผ่น ขนาดประมาณเส้นผ่านศูนย์กลางจานรอง ระเบิดเหล่านี้เป็นทุ่นระเบิด PMN-2 ที่ผลิตในรัสเซีย บางอันดูเหมือนจะเป็นของใหม่เอี่ยมและยังไม่ได้ถูกวาง ภาพเบื้องต้นของสิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้กัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของไทยว่าไม่มีมูลความจริง เนื่องจากยังไม่ได้ถอดสลักยึดอาวุธออก อย่างไรก็ตาม เราเห็นทุ่นระเบิดอื่นๆ ที่ถูกติดตั้งและฝังไว้แล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ใช่ในช่วงทศวรรษ 1980บทความของบีบีซีทิ้งท้ายว่า ฮุนเซนและบุตรชายได้รับประโยชน์ทางการเมืองจากการที่พวกเขาสามารถแสดงตนเป็นผู้ปกป้องผืนแผ่นดินกัมพูชาได้ ความขัดแย้งนี้ก่อให้เกิดความเป็นปรปักษ์อย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มชาตินิยมไทยและกัมพูชา แรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชาหลายแสนคนได้อพยพออกจากประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของกัมพูชาที่กำลังประสบปัญหาอยู่แล้ว ข่าวของ BBC