ถอดรหัส SEO ปี 2026 กับ 10 กลยุทธ์ที่ธุรกิจไทยต้องปรับตัว
หลายเว็บไซต์ธุรกิจที่เคยครองอันดับบนหน้า Search Result ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เริ่มส่อสัญญาณถึงการเติบโตที่ช้าลง โดยหลายแบรนด์เองก็ยังไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร และจะต้องปรับกลยุทธ์การทำ SEO ปัจจุบันอย่างไร เพื่อให้เว็บไซต์ธุรกิจของตัวเองยังครองตลาดต่อไปได้ ทั้งที่นักการตลาดก็รับรู้ถึงการมาของ AI และเชื่อว่าส่วนใหญ่ก็มีการใช้ AI ในการทำงานมากขึ้นแล้วด้วย แต่พวกเขายังลืมไปว่าจริงๆ แล้วนั้น เราก็เริ่มหาข้อมูลผ่าน AI Search โดยไม่ได้สังเกตว่านี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้การเติบโตบน Organic Traffic ของธุรกิจเริ่มไม่เป็นเหมือนที่เคย
เมื่อเข้าสู่ปี 2026 การแข่งขันในโลก SEO ไม่ได้เป็นแค่การแข่งกับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกันอีกต่อไป แต่เป็นการแข่งขันกับ AI ที่กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้งานโดยสิ้นเชิง บทความนี้จึงไม่ได้มาเพื่อบอกว่า SEO แบบเดิมใช้ไม่ได้แล้ว แต่เป็นคู่มือการปรับตัวให้ทันยุค AI Era จากประสบการณ์การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์กว่า 300 โปรเจกต์ บริษัทรับทำ SEOชั้นนำ อย่าง ANGA Bangkok ได้สรุป 10 กลยุทธ์ที่ธุรกิจไทยต้องปรับตัวในปี 2026 เพื่อไม่ให้ตกขบวนในโลกที่ AI กำลังเป็นผู้กุมชะตาของการค้นหา
ทำไม SEO ในปี 2026 ถึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ?
หากมองย้อนกลับไป การอัปเดตอัลกอริทึมของ Google ในอดีตไม่ว่าจะเป็น Panda, Penguin หรือ Hummingbird ล้วนเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ แต่ในมุมมองของผมที่ทำงานด้าน SEO มาตลอดหลายปี ขอยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง มันไม่ใช่แค่การปรับอัลกอริทึม แต่มันคือการเปลี่ยน "รูปแบบ" ของการค้นหาข้อมูลทั้งหมด
“การมาของ Generative AI ในหน้าผลการค้นหา คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ Google ถือกำเนิดขึ้น มันเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้จาก ผู้ค้นหา (Searcher) ไปสู่ ผู้สนทนา (Converser) ธุรกิจที่ไม่เข้าใจและไม่ปรับตัวตาม จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่เทรนด์ แต่คืออนาคตที่มาถึงแล้ว”
รัชวิทย์ หวังพัฒนธน
Rachavit Whangpatanathon
CEO และ Managing Director ที่ ANGA Bangkok
การมาถึงของ AI Overviews และ Search Generative Experience (SGE)
AI Overviews (หรือที่เคยรู้จักในชื่อ SGE) คือการที่ Google ใช้ AI สรุปคำตอบจากหลากหลายแหล่งข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ วิดีโอ หรือ Forum แล้วนำมาแสดงผลที่ด้านบนสุดของหน้าการค้นหา มันทำหน้าที่เหมือนผู้ช่วยอัจฉริยะที่ย่อยข้อมูลที่ซับซ้อนให้กลายเป็นคำตอบที่กระชับและตรงประเด็นทันที ซึ่งหมายความว่าพื้นที่ "Blue Links" หรือตำแหน่ง 10 อันดับแบบเดิมที่นักทำ SEO เคยต่อสู้กันอย่างดุเดือด ไม่ใช่จุดสนใจแรกของกลุ่มเป้าหมายอีกต่อไป
เปลี่ยนจากการเสิร์ชเพื่อ ค้นหา สู่ การสนทนา
ในอดีต เราพิมพ์ Keyword สั้นๆ เพื่อค้นหาเว็บไซต์ แต่ปัจจุบัน ผู้เสิร์ชจะพิมพ์คำถามที่เป็นประโยคยาวๆ หรือแม้กระทั่งใช้เสียง (Voice Search) ถามคำถามที่ซับซ้อน เหมือนกำลังคุยกับมนุษย์ เช่น แทนที่จะค้นหาว่า "รองเท้าวิ่ง ยี่ห้อไหนดี" ผู้ใช้อาจจะถามว่า "ผมเป็นนักวิ่งสมัครเล่น น้ำหนัก 80 กิโล วิ่งสัปดาห์ละ 3 วันบนพื้นถนน ช่วยแนะนำรองเท้าวิ่งที่ซัพพอร์ตดีๆ ในงบ 4,000 บาทหน่อย" AI ก็จะประมวลผล และให้คำตอบแบบเฉพาะบุคคลทันที
Zero-Click Search ที่เพิ่มขึ้น และความท้าทายใหม่ของธุรกิจ
ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือปรากฏการณ์ Zero-Click Search หรือการที่ผู้ใช้ได้คำตอบที่ต้องการจากหน้า AI Overviews โดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ใดๆ เลย นี่คือความท้าทายครั้งใหญ่ เพราะโมเดลการวัดผล SEO แบบเดิมที่เน้น Traffic และ Clicks จะไม่เพียงพออีกต่อไป ทำให้เจ้าของธุรกิจเองก็ต้องหาทางทำให้แบรนด์ของตัวเองถูกใช้เป็น “แหล่งอ้างอิง" หรือ "ปรากฏชื่อ" อยู่ในคำตอบของ AI ให้ได้แทน
10 กลยุทธ์ที่ธุรกิจไทยต้องปรับใช้เพื่อครองอันดับหนึ่ง
เมื่อพฤติกรรมผู้เสิร์ชเปลี่ยน รูปแบบการทำ SEO ก็ต้องเปลี่ยนตาม จากประสบการณ์ของ ANGA ในการดูแลและวางกลยุทธ์ SEO ให้กับธุรกิจมาในทุกสเกล เราได้ตกผลึกออกมาเป็น 10 กลยุทธ์สำคัญ ที่ไม่ใช่แค่ควรทำ แต่ "ต้องทำ" เพื่อให้เว็บไซต์ธุรกิจของคุณอยู่รอดในปี 2026 และเติบโตต่อไปในอนาคตของยุค AI นี้
กลยุทธ์ที่ 1 : ยกระดับ E-E-A-T ให้จับต้องได้
ที่ผ่านมาเราอาจจะพูดถึง E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) กันในเชิงแนวคิด แต่สำหรับปี 2026 คุณต้องทำให้มันจับต้องได้ และมีหลักฐานที่ชัดเจน เพราะ AI ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่คุณพูด แต่เชื่อในสิ่งที่คุณแสดงให้เห็น
Experience (บอกเล่าจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่สรุปข้อมูลจากที่อื่น)
- สิ่งที่ต้องเลิกทำ :เขียนบทความ "5 วิธีดูแลผิว" โดยอ้างอิงข้อมูลทั่วไปจากอินเทอร์เน็ต
- สิ่งที่ต้องทำ :สร้างคอนเทนต์โดยผู้เชี่ยวชาญที่ใช้งานผลิตภัณฑ์จริง เช่น ให้บิวตี้บล็อกเกอร์ตัวจริงทำวิดีโอรีวิวสกินแคร์ พร้อมถ่ายภาพผลลัพธ์การใช้งานจริงในแต่ละสัปดาห์ หรือหากคุณเป็นบริษัททัวร์ ก็ควรเขียนบล็อกโดยไกด์ที่ลงพื้นที่จริง มีภาพถ่ายและวิดีโอจากสถานที่นั้นๆ ที่ไม่มีใครเหมือน
- เคล็ดลับที่ ANGA พบคือเนื้อหาที่มีการบอกเล่ามุมมองบุคคลที่หนึ่ง ("ผมได้ลองใช้แล้วพบว่า…") จะถูก AI มองว่ามีน้ำหนักมากกว่าบทความที่เขียนแบบกลางๆ
Expertise (พิสูจน์ว่าคุณคือ ผู้รู้ลึก รู้จริง ในวงการนั้นๆ)
- สิ่งที่ต้องเลิกทำ :สร้างคอนเทนต์ทางการเงินโดยนักเขียนทั่วไปที่ไม่มีพื้นฐานด้านนี้
- สิ่งที่ต้องทำ :ระบุตัวตนผู้เขียนบทความอย่างชัดเจน เช่น "บทความนี้เขียนโดย [ชื่อผู้เขียน], นักวางแผนการเงินที่ได้รับการรับรอง CFP®" หรือบทความสุขภาพต้องมีชื่อแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ (Reviewed by) ท้ายบทความ รวมถึงการอ้างอิงงานวิจัย สถิติ หรือแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือพร้อมใส่ลิงก์อ้างอิง คือการสร้างความเชี่ยวชาญที่ AI ตรวจสอบได้
Authoritativeness (ทำให้โลกออนไลน์รู้ว่าคุณคือ ตัวจริงในวงการ)
- สิ่งที่ต้องเลิกทำ :หวังว่าคนจะรู้จักแบรนด์ของคุณเองโดยไม่มีการโปรโมต
- สิ่งที่ต้องทำ :สร้างสิ่งที่เรียกว่า Digital PR อย่างจริงจัง การที่แบรนด์ของคุณถูกพูดถึง หรือได้รับ Backlink จากเว็บไซต์ข่าวที่น่าเชื่อถือ หรือจากสมาคมที่เกี่ยวข้องกับแวดวงธุรกิจของคุณ เป็นเหมือนการได้รับการรับรอง ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่ทรงพลังมากสำหรับ AI
Trustworthiness (สร้างความไว้วางใจตั้งแต่แรกเห็น)
- สิ่งที่ต้องเลิกทำ :เว็บไซต์ไม่มีข้อมูลติดต่อที่ชัดเจน, ไม่มีหน้า About Us, ไม่มีนโยบายความเป็นส่วนตัว
- สิ่งที่ต้องทำ :ทำให้เว็บไซต์ของคุณดูโปร่งใสให้มากที่สุด เช่น การมีหน้า About Us ที่บอกเล่าเรื่องราวของบริษัท, มีที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้จริง, มีหน้า Privacy Policy และ Terms of Service ที่ชัดเจน และแน่นอนว่าเว็บไซต์ต้องติดตั้ง SSL (เป็น HTTPS) เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้รวมกันเป็นความน่าเชื่อถือที่ยิ่งใหญ่ในสายตาของ AI และผู้ใช้งาน
กลยุทธ์ที่ 2 : คิดแบบ Semantic Search
หยุดคิดถึง Keyword เป็นคำๆ แล้วเริ่มคิดเป็น เรื่องราว (Topics) และ คำถามทั้งหมด (Questions) ที่กลุ่มเป้าหมายจะสนใจ ซึ่งทำให้การทำ Keyword Research ต่อจากนี้จะต้องครอบคลุมทุกมุมมองที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณกลายเป็น ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง ในสายตาของ AI และ Search Engine ที่ไม่ใช่แค่เขียนบทความตอบคำถามเดียวแล้วจบ
การทำความเข้าใจ Intent ของผู้ใช้
จากประสบการณ์ของ ANGA การวิเคราะห์ Intent คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด ก่อนจะสร้างคอนเทนต์ใดๆ ให้ถามตัวเองเสมอว่าคนที่ค้นหาคำนี้ เขากำลังอยู่ในขั้นตอนไหนของ Marketing Funnel เช่น แค่หาข้อมูลทั่วไป (Informational), กำลังเปรียบเทียบเพื่อตัดสินใจ (Commercial), หรือพร้อมที่จะซื้อ/ใช้บริการแล้ว (Transactional) เนื้อหาของคุณต้องตอบโจทย์ Intent นั้นๆ ให้ตรงจุด
การสร้าง Pillar Page และ Cluster Content
- Pillar Page (หน้าหลัก) :คือบทความขนาดยาวที่ครอบคลุมภาพรวมทั้งหมดของหัวข้อหลัก เช่น ถ้าคุณขายเครื่องกรองน้ำ Pillar Page อาจเป็น "ทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับเครื่องกรองน้ำ ปี 2026"
- Cluster Content (บทความย่อย) :คือบทความที่เจาะลึกในแต่ละประเด็นย่อยๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Pillar Page เช่น "เครื่องกรองน้ำระบบ RO กับ UV ต่างกันอย่างไร?", "วิธีเลือกเครื่องกรองน้ำสำหรับคอนโด", "5 สัญญาณเตือนว่าต้องเปลี่ยนไส้กรองน้ำ" เป็นต้น
การใช้ Internal Linking เชื่อมโยงหากันให้เป็นระบบ
ให้ทุกบทความย่อย (Cluster Content) ลิงก์กลับไปยังหน้าหลัก (Pillar Page) และ Internal Linking เชื่อมโยงระหว่างบทความย่อยที่เกี่ยวข้องกัน การทำบทความเช่นนี้ จะเป็นการสร้าง "โครงข่ายของความรู้" ที่บอกกับ AI ว่าเว็บไซต์ของฉันคือผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในเรื่องเครื่องกรองน้ำนะ เพราะเรามีข้อมูลครอบคลุมทุกมิติ
กลยุทธ์ที่ 3 : Content is Queen, Context is King, Format is the Kingdom
ในยุคที่กลุ่มเป้าหมายมีทางเลือกในการเสพข้อมูลมากมาย และ AI สามารถประมวลผลข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ การมีแค่บทความตัวอักษรอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป
- บทความเชิงลึก (Long-form content) :ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้าง Authority ในหัวข้อที่ซับซ้อนและต้องการการอธิบายอย่างละเอียด
- วิดีโอ (YouTube, TikTok) :AI ไม่ได้แค่อ่านชื่อคลิปหรือคำบรรยายอีกต่อไป แต่มันสามารถดูและฟัง เพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาในวิดีโอได้แล้ว เคล็ดลับที่ ANGA แนะนำเสมอคือให้ใส่คำบรรยาย (Captions/Subtitles) ที่ถูกต้อง และเขียนคำอธิบายใต้วิดีโอ (Video Description) ให้ละเอียดเหมือนเป็นมินิบล็อก เพราะนี่คือข้อมูลชั้นดีให้ AI นำไปสรุปและอ้างอิง
- รูปภาพ Infographic และ Podcast :สร้างคอนเทนต์เพื่อตอบสนองคนในทุกกลุ่ม บางคนชอบดูรูปภาพสรุปข้อมูล บางคนชอบฟังระหว่างขับรถ การมีคอนเทนต์หลายรูปแบบคือการขยายโอกาสให้แบรนด์ของคุณเข้าถึงคนได้มากขึ้น
- การปรับข้อมูลให้เป็นลิสต์ (Listicles) และตาราง :เนื้อหาที่จัดเรียงเป็นข้อๆ (Bullet Points) เป็นขั้นตอน (Numbered Lists) หรือเป็นตารางเปรียบเทียบ ถือว่าตอบโจทย์ AI มากๆ เพราะมันมีโครงสร้างที่ชัดเจน ง่ายต่อการดึงไปสรุปและแสดงผลใน AI Overviews
กลยุทธ์ที่ 4 : ASEO (AI & Search Engine Optimization)
เป้าหมายสูงสุดของการทำ SEO ในยุคใหม่ ไม่ใช่แค่การทำให้เว็บติดอันดับ แต่คือการทำให้เนื้อหาของเราถูกคัดเลือกไปเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบที่ AI สร้างขึ้น
- การเขียนเนื้อหาที่ตอบคำถามโดยตรงและกระชับในย่อหน้าแรก :ใช้เทคนิคที่เรียกว่า Inverted Pyramid หรือพีระมิดกลับหัว คือการนำเสนอคำตอบหรือใจความที่สำคัญที่สุดไว้ใน 1-2 ย่อหน้าแรก แล้วค่อยอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนถัดไป
- การใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและเชิงสนทนา :เขียนให้เหมือนคุณกำลังพูดคุยหรืออธิบายเรื่องยากๆ ให้เพื่อนฟัง หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิคที่ซับซ้อนเกินไป เพราะผู้ใช้งานมักจะใช้ภาษาพูดในการถามคำถามกับ AI
- การใช้ Structured Data และ Schema Markup ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น :หากเปรียบเว็บไซต์ของคุณเป็นห้องสมุด Schema Markup ก็เปรียบเสมือนป้ายบอกหมวดหมู่ที่ชัดเจน มันคือโค้ดที่ช่วยบอก AI ว่า "ข้อมูลส่วนนี้คือรีวิวสินค้านะ หรือส่วนนี้คือคำถามที่พบบ่อย (FAQ) เพราะการติดป้ายเหล่านี้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้ AI เข้าใจและดึงข้อมูลของคุณไปใช้ได้ง่ายและแม่นยำขึ้น
กลยุทธ์ที่ 5 : สร้างตัวตนบนแพลตฟอร์มที่ AI ใช้เป็นแหล่งข้อมูล
AI ต้องการความมั่นใจว่าข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณนั้นถูกต้องและเป็นที่ยอมรับ มันจึงไม่ได้ดูแค่เว็บไซต์ของคุณเพียงแห่งเดียว แต่จะรวบรวมข้อมูลจากทั่วทั้งอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า Brand Mentions หรือเสียงสะท้อนตัวตนของแบรนด์คุณ
- ข้อมูลจาก Forum ที่น่าเชื่อถือ :ถ้าในประเทศไทย Pantip กับ Reddit คือคลังข้อมูลมหาศาลที่ AI ให้ความสำคัญ การมีกระทู้พูดถึงแบรนด์ของคุณในเชิงบวก หรือแม้แต่การที่คุณเข้าไปตอบคำถามหรือแก้ปัญหาให้ลูกค้าในกระทู้นั้นๆ อย่างมืออาชีพ ล้วนเป็นสัญญาณที่ดีต่อ AI
- การมีตัวตนและข้อมูลที่สอดคล้องกันบน Social Media :ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลสำคัญ (ชื่อบริษัท, ที่อยู่, เบอร์โทร, เว็บไซต์) บน Facebook, Instagram, LinkedIn หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ของคุณนั้นตรงกันทั้งหมด เพราะหากข้อมูลไม่ตรงกัน จะทำให้ AI สับสนและลดความน่าเชื่อถือของแบรนด์ลง
- ข้อมูลรีวิวบนแพลตฟอร์มและ Marketplaces ต่างๆ :รีวิวไม่ใช่แค่สำหรับลูกค้าอีกต่อไป แต่เป็นข้อมูลให้ AI เรียนรู้ด้วย เช่น รีวิวบน Google Business Profile, Wongnai, Agoda, Shopee, Lazada ล้วนเป็นหลักฐานยืนยันการมีอยู่และคุณภาพของสินค้า/บริการของคุณ
กลยุทธ์ที่ 6 : วางโครงสร้างเว็บไซต์ให้พร้อมสำหรับ AI Crawler
ลองมองเว็บไซต์ของคุณเป็นเหมือนพื้นที่ของธุรกิจบนโลกออนไลน์ ส่วน AI Crawler ก็เปรียบเสมือนทีมสำรวจของ Google ที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาทำความรู้จักและเก็บข้อมูลทุกซอกทุกมุม
ประเด็นสำคัญคือ ถ้าพื้นที่ของคุณจัดวางสับสน โครงสร้างซับซ้อน ไม่มีป้ายบอกทางที่ชัดเจน ต่อให้ทีมสำรวจจะเก่งแค่ไหน ก็คงสำรวจได้ไม่ครบถ้วน และอาจมองข้ามข้อมูลดีๆ หรือหน้าสินค้าที่สำคัญที่สุดของคุณไป
เรื่องนี้ก็เหมือนกับการวางโครงสร้างเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า Technical SEO ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่มันคือการวางรากฐานของเว็บไซต์ให้แข็งแรงและเป็นมิตร เพื่อต้อนรับให้ AI เข้ามาเก็บข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด ในมุมมองของ ANGA ที่ทำงานด้าน SEO มาตลอด ขอย้ำเลยว่านี่คือรากฐานที่สำคัญจริงๆ ถ้าโครงสร้างบ้านไม่ดี จะตกแต่งภายใน (คอนเทนต์) สวยแค่ไหน สุดท้ายบ้านก็อาจจะพังลงมาได้อยู่ดี
Crawlability และ Indexability (เข้าถึงได้และเก็บข้อมูลได้)
Crawlability หรือพูดง่ายๆ คือ ประตูทุกบานในเว็บไซต์ของคุณต้องเปิดให้ AI เข้าได้ เพราะ AI Crawler จะวิ่งไปตามลิงก์ต่างๆ เพื่อสำรวจหน้าเว็บ ถ้ามีหน้าสำคัญที่ไม่มีลิงก์ไปถึง หรือถูกบล็อกไว้โดยไม่ตั้งใจ หน้านั้นก็จะกลายเป็นห้องลับที่ AI ไม่มีวันค้นพบ ซึ่งทำให้คุณจะต้องใส่ใจกับเรื่องต่อไปนี้
- ไฟล์ Robots.txt :ไฟล์เล็กๆ นี้มีหน้าที่บอกกฎกับ Crawler ว่าโซนไหนเข้าได้ และ โซนไหนห้ามเข้า ซึ่งมีประโยชน์ในการป้องกันไม่ให้ AI เข้าไปเก็บข้อมูลในหน้าที่ไม่สำคัญ เช่น หน้าตะกร้าสินค้า หรือหน้าผลการค้นหาภายในเว็บ
- ไฟล์ Sitemap.xml :เป็นเหมือนแผนที่ หรือ พิมพ์เขียวของห้องสมุด ที่คุณเป็นคนวาดและยื่นให้กับ AI โดยตรง มันจะบอกว่าเว็บไซต์ของคุณมีหน้าอะไรบ้าง อยู่ตรงไหน และหน้าไหนสำคัญที่สุด การมี Sitemap ที่สะอาดและอัปเดตอยู่เสมอ (ไม่มีลิงก์เสีย หรือหน้าที่ไม่มีอยู่จริง) คือการช่วยนำทางให้ AI ทำงานได้ง่ายและเร็วขึ้น
Site Speed และ Core Web Vitals (ความเร็วเว็บและประสบการณ์ผู้ใช้)
หากเว็บของคุณใช้เวลาโหลดนานกว่า 3 วินาที กลุ่มเป้าหมายก็พร้อมจะกดปุ่ม Back กลับไปหาคู่แข่งของคุณทันที พฤติกรรมการเข้าเว็บแล้วกดออกทันทีแบบนี้เรียกว่า Pogo-sticking ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่บอก AI ว่า ผลลัพธ์การค้นหานี้คุณภาพต่ำและมอบประสบการณ์ที่แย่ เว็บของคุณก็จะถูกลดความน่าเชื่อถือและอันดับลงในที่สุด
ทำความรู้จัก Core Web Vitals แบบง่ายๆ
นี่คือ 3 ค่าหลักที่ Google ใช้วัดประสบการณ์ผู้ใช้
- LCP (Largest Contentful Paint) : เว็บโหลดเร็วแค่ไหน?– วัดความเร็วในการปรากฏขึ้นของเนื้อหาชิ้นใหญ่ที่สุดบนหน้าจอ
- INP (Interaction to Next Paint ) : เว็บตอบสนองเร็วแค่ไหน?– เมื่อคุณคลิกปุ่มหรือเมนู เว็บไซต์ตอบสนองในทันทีหรือไม่ หรือว่ามันค้างไป
- CLS (Cumulative Layout Shift) : เว็บเสถียรแค่ไหน?– คุณเคยเจอปัญหากำลังจะกดปุ่ม ซื้อเลย แล้วจู่ๆ ก็มีโฆษณาเด้งขึ้นมา ทำให้คุณกดพลาดไปโดนโฆษณาแทนหรือไม่? นั่นคืออาการของค่า CLS ที่แย่ ซึ่งสร้างความรำคาญให้ผู้ใช้อย่างมาก
การใช้ Schema Markup เพื่อบอก AI ว่า ข้อมูลส่วนนี้คืออะไร
Schema Markup คือ โค้ดชนิดพิเศษที่ใช้สื่อสารกับ AI และ Search Engine โดยตรง เปรียบเสมือนการติดป้ายชื่อให้กับข้อมูลแต่ละส่วนบนเว็บไซต์ของคุณ เพื่อบอกว่านี่คือ ชื่อสินค้า, นี่คือราคา, นี่คือรีวิวจากลูกค้าจริง หรือนี่คือข้อมูลติดต่อบริษัท ซึ่งทำให้ AI เข้าใจบริบทของเนื้อหาได้อย่างแม่นยำ แทนที่จะต้องเดาเอาเอง
จากประสบการณ์การของ ANGA ที่เราดูแลพาร์ทเนอร์มา พบว่าการติด Schema Markup อย่างละเอียดและถูกต้อง จะให้เว็บไซต์นั้นมักจะเป็นเว็บกลุ่มแรกๆ ที่ถูก AI ดึงข้อมูลไปใช้สร้างคำตอบ เพราะ AI ไม่ต้องเสียเวลาแปลความหมายของข้อมูล สามารถหยิบข้อมูลไปใช้ได้ทันที
กลยุทธ์ที่ 7 : พลังของ UGC (User-Generated Content) และ Review
ในยุคที่ AI ทำให้ใครๆ ก็สร้างคอนเทนต์ได้ ยิ่งตอบย้ำว่า เสียงจากผู้ใช้งานจริง จะกลายเป็นสิ่งที่ลอกเลียนแบบไม่ได้และเป็นสัญญาณความน่าเชื่อถือที่ทรงพลังที่สุด
- กระตุ้นให้เกิดการรีวิว :อย่าแค่รอให้ลูกค้ามารีวิวเอง สร้างกระบวนการเพื่อกระตุ้นให้เกิดรีวิว เช่น การส่งอีเมลหรือ SMS ติดตามหลังการซื้อเพื่อขอรีวิว, การมอบส่วนลดเล็กๆ น้อยๆ สำหรับการรีวิวครั้งถัดไป
- นำ Testimonials หรือรีวิวจากลูกค้ามาแสดงบนเว็บไซต์ : คัดเลือกคำชมที่ดีที่สุดมาแสดงในหน้าแรก หรือสร้างหน้ารีวิวจากลูกค้าโดยเฉพาะ การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อรายใหม่ แต่ยังเป็นการเพิ่มคอนเทนต์คุณภาพที่มี Keyword ที่ลูกค้าใช้จริงอยู่เต็มไปหมด
- สร้าง Community ให้ลูกค้าได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ :การสร้าง Facebook Group หรือ Forum บนเว็บไซต์ของคุณเองเพื่อให้ลูกค้าได้เข้ามาถามคำถาม แบ่งปันเทคนิคการใช้งาน หรือช่วยเหลือกันเอง
กลยุทธ์ที่ 8 : ครองพื้นที่การค้นหาใน Local SEO
สำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือให้บริการในพื้นที่จำกัด การต่อสู้ในสนาม Local SEO จะยิ่งดุเดือดขึ้น เพราะ AI จะเข้ามาตอบคำถามพวก Keyword ใกล้ฉัน" (Near me) โดยตรง
- ปรับปรุงข้อมูล Google Business Profile (GBP) :ANGA เราย้ำกับลูกค้าเสมอ ให้อัปเดต Google Posts อย่างน้อยเดือนละครั้ง, เพิ่มรูปภาพใหม่ๆ ของร้านค้า สินค้า หรือบรรยากาศอย่างสม่ำเสมอ, และที่สำคัญที่สุดคือ "ตอบทุกรีวิว" ไม่ว่าจะเป็นคำชมหรือคำติ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ
- สร้าง Local Content ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ให้บริการ :เขียนบทความที่เชื่อมโยงธุรกิจของคุณเข้ากับท้องถิ่น เช่น ร้านกาแฟในย่านอารีย์ อาจเขียนบทความ 5 จุดถ่ายรูปสุดชิคในซอยอารีย์ (แวะพักดื่มกาแฟที่ร้านเรา!) หรือคลินิกทันตกรรมในเชียงใหม่ อาจทำคอนเทนต์ "เตรียมตัวทำฟันก่อนไปเที่ยวช่วงวันหยุดยาวที่เชียงใหม่"
- การถูกพูดถึงจากสื่อหรือ Influencer ในท้องถิ่น :การร่วมมือกับเพจรีวิวของจังหวัด หรือบล็อกเกอร์สายท่องเที่ยว/ไลฟ์สไตล์ในพื้นที่ เป็นการสร้าง "Local Authority" ที่มีประสิทธิภาพสูงมากในสายตาของ AI
กลยุทธ์ที่ 9 : เมื่อ SEO ต้องผสานกับ PR
การทำ Digital PR ในยุคใหม่ มีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าแค่การได้ Backlink มันคือการสร้าง Brand Authority หรือการทำให้ AI รับรู้ว่าแบรนด์ของคุณมีความสำคัญและเป็นที่ยอมรับในระดับอุตสาหกรรม
- การมีข่าวแบรนด์ไปปรากฏบนสื่อออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ :การที่สำนักข่าวใหญ่ๆ นำข้อมูลจากบทวิเคราะห์ตลาดที่คุณทำไปอ้างอิง หรือเขียนข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของคุณ คือการการันตีความน่าเชื่อถือ
- การร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญหรือ Influencer ในอุตสาหกรรม :การที่ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับในวงการกล่าวถึงแบรนด์ของคุณในบทความหรือวิดีโอของเขา มีน้ำหนักมากกว่า Backlink จากเว็บไซต์ทั่วไปหลายเท่า
- สร้าง Brand Signals ที่แข็งแกร่งให้ AI รับรู้ :เป้าหมายสูงสุดคือการทำให้คน ค้นหาชื่อแบรนด์ของคุณโดยตรง เมื่อ AI พบว่ามีคนจำนวนมากค้นหาชื่อแบรนด์ของคุณ หรือค้นหา "ชื่อแบรนด์ + รีวิว" "ชื่อแบรนด์ + คืออะไร" มันจะเรียนรู้ว่าแบรนด์ของคุณมีความสำคัญและเป็นที่สนใจของผู้คน
กลยุทธ์ที่ 10 : เปลี่ยนมุมมองการวัดผล
หนึ่งในความจริงที่เจ็บปวดแต่นักการตลาดต้องยอมรับคือ ยอดคลิกเข้าเว็บไซต์จากหน้าผลการค้นหา (Organic Clicks) จะลดลงอย่างมาก เพราะผู้เสิร์ชได้คำตอบจาก AI Overviews ไปแล้ว ดังนั้น แบรนด์ต้องเปลี่ยนวิธีวัดความสำเร็จของ SEO ใหม่
- การวัดผลการมองเห็น (Impressions) และการปรากฏใน AI Answers :ถึงแม้ผู้ใช้จะไม่คลิก แต่การที่แบรนด์หรือเนื้อหาของคุณปรากฏในคำตอบของ AI ก็ถือเป็นความสำเร็จในการสร้าง Brand Awareness ซึ่งเราต้องหาวิธีติดตามว่าเนื้อหาของเราว่าถูก AI นำไปโชว์บ่อยแค่ไหน
- การติดตามการถูกพูดถึง (Brand Mentions) :ใช้เครื่องมืออย่าง Google Alerts หรือ Social Listening Tools เพื่อติดตามว่าแบรนด์ของคุณถูกกล่าวถึงที่ไหนบ้างบนโลกออนไลน์ นี่คือตัวชี้วัด ความสำเร็จของแบรนด์ที่สำคัญกว่าจำนวนคลิก
- การวัดผล Conversion จาก Journey ที่เปลี่ยนไป :ลูกค้าในอนาคตอาจจะเห็นชื่อร้านของคุณจาก AI Overviews > ไปดูรีวิวใน Pantip > เข้า Facebook Page ของคุณ > และสุดท้ายพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ของคุณโดยตรงเพื่อเข้ามาซื้อสินค้า การวัดผลต่อจากนี้ จึงต้องมองภาพรวมของ Customer Journey ทั้งหมด ไม่ได้ดูแค่ Last Click จาก Organic Search อีกต่อไป ดังนั้นอย่าลืม ตั้งค่า Goal Tracking ใน Google Analytics 4 ให้ครอบคลุมทุก Journey
บทสรุปการเตรียมพร้อมสำหรับวิธีทำ SEO ยุคใหม่ในปี 2026
จากประสบการณ์ตรงของทีม ANGA ที่รับทำ SEOและวางกลยุทธ์ให้เว็บไซต์มากกว่า 300 โปรเจกต์ เราเห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า เกมของ SEO ในปี 2026 ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว การยึดติดกับวิธีการแบบเดิมๆ ที่แค่ติดอันดับด้วย Keyword และสร้าง Backlink เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป
หัวใจสำคัญคือการประยุกต์ใช้กลยุทธ์ทั้ง 10 ข้อที่กล่าวมา ด้วยการเปลี่ยนจากการทำ SEO เชิงเทคนิค ไปสู่การ "สร้างแบรนด์ที่น่าเชื่อถือในระยะยาว" เพราะ AI ไม่ได้มองหาเว็บที่ใช้ Keyword ได้ถูกต้องที่สุด แต่มองหาแบรนด์ที่มีความเชี่ยวชาญจริง (Expertise) แบ่งปันประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ (Experience) เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง (Authoritativeness) และได้รับความไว้วางใจ (Trustworthiness) นั่นเอง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จึงเป็นโอกาสทองสำหรับแบรนด์ที่พร้อมปรับตัว ในการก้าวขึ้นมาครองอันดับหนึ่งในยุค AI Search ที่มาถึงแล้วอย่างเต็มตัว