‘ดร.มานะ’ ยก 10 เหตุผลขอจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ บ่อยครั้งใช้เลี่ยงไม่เข้าโครางการข้อตกลงคุณธรรม
24 ส.ค.2568-ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “10 เหตุผลเพื่อขอจัดซื้อฯ ด้วยวิธีพิเศษ” ระบุว่า ผมเพิ่งรู้ว่าการจัดซื้อฯ ของภาครัฐ มากถึง 97.45% ใช้วิธี “เฉพาะเจาะจง” ที่กำหนดไว้แต่แรกเลยว่าจะซื้อจากใคร ตามด้วยวิธี “คัดเลือก” คือเลือกซื้อจากผู้ขายที่กำหนดชื่อไว้แล้วไม่น้อยกว่า 3 ราย (หรือ 2 รายหากหาผู้ขายอื่นไม่ได้) ส่วนการเปิดกว้างให้เอกชนเข้าประมูลแข่งขันกันที่คนทั่วไปต่างเชื่อว่าดีที่สุดนั้น กลับถูกใช้จริงน้อยมาก
ที่ผ่านมาการจัดซื้อวิธีเฉพาะเจาะจงและวิธีคัดเลือก ถูกเรียกรวมกันว่า “วิธีพิเศษ” ใครต้องการใช้วิธีนี้ต้องแจ้งเหตุผลความจำเป็นให้ชัดเจน เช่น
1. เหตุจำเป็นเร่งด่วน เช่น น้ำท่วม ศัตรูพืชระบาด โควิดระบาดหนัก การสู้รบตามแนวชายแดน
2. ซื้อจากหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง เช่น สนง. ประกันสังคม จ้างชุมนุมสหกรณ์การเกษตรฯ พิมพ์ปฏิทินปีละ 50 ล้านบาท การกีฬาฯ จ้างกรมทางหลวงสร้างสนามกีฬาจังหวัด กองบินตำรวจจ้างการบินไทยซ่อมบำรุงเครื่องบินปีละ 950 ล้านบาท เป็นต้น
3. “ความลับของทางราชการ หรือกระทบต่อความมั่นคง” กรณีสุดประหลาดที่เคยเจอ คือโครงการก่อสร้างแฟลตทหารในค่ายทหารแห่งหนึ่ง ต้องจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ เพราะระหว่างก่อสร้างจะมีรถขนส่งคนงานและวัสดุก่อสร้างวิ่งผ่านอาคารสำคัญของหน่วยงาน จึงเสี่ยงว่าความลับทางทหารจะรั่วไหล
4. ซื้อแบบรัฐต่อรัฐ หรือ “จีทูจี” (เอ๊ะ!.. ตัวแทนนายหน้าที่มาติดต่อเจรจาขายของคือใครล่ะ แล้วที่ศาลตัดสินแล้วว่าการขายข้าวเพื่อส่งออกในโครงการจำนำข้าวคือ จีทูเจี๊ยะใช่ไหมนะ?)
5. มีกฎหมายเปิดช่องไว้ เช่น กทม. เคยปฏิเสธการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จัดซื้อฯ โดยอ้างอำนาจตาม พ.ร.บ. กำจัดขยะฯ
6. เพื่อความคล่องตัว ไม่ว่าจะเกี่ยวเนื่องกับงานเก่าหรือไม่ก็ตาม แต่เอกชนรายนั้นทำงานในพื้นที่อยู่แล้วจึงให้งานเพิ่มอีกเพื่อความสะดวกรวดเร็ว เช่น กรณีสถานีกลางบางซื่อจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างสถานีฯ ให้ทำป้ายชื่อสถานีใหม่ด้วยราคาแพงลิบลิ่ว สุดท้ายต้องเลิกไปเพราะโดนประชาชนต่อต้าน
7. “จำเป็นต้องซื้อจากเขา” ภาษานักการตลาดเรียกว่า “ผูกหางหมาขาย” เช่น ซื้อซอฟแวร์ของเขาแล้วต้องซื้อบริการซ่อมบำรุงหรือซอฟแวร์ส่วนต่อขยายหรือฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานร่วมกันได้ กรณีซื้อเครื่องปริ้นเตอร์ก็ต้องซื้อหมึกพิมพ์ยี่ห้อนั้นด้วย เป็นต้น
เงื่อนไขเช่นนี้ทำให้คนขายดิ้นรนทุกวิธีเพื่อขายสินค้าต้นทางให้ได้แม้ต้องติดสินบนหรือขายขาดทุน เช่น ขายพริ้นเตอร์เครื่องละ 100 บาท
8. มีผู้ขายน้อยรายที่ขายสินค้าหรือให้บริการเช่นนั้นได้ เช่น การจัดซื้อที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ งานก่อสร้างในสามจังหวัดภาคใต้ งานซ่อมแซมโบราณสถานฯ การทำซอฟแวร์บางประเภท ฯลฯ
9. อ้างข้อจำกัดตามบัญชีสินค้าที่รัฐสนับสนุน เช่น สินค้านวัตกรรม ส่งเสริมงานศิลปะ
10. การจัดซื้อฯ ด้วย “เงินกู้หรือเงินบริจาค” ที่ผู้ให้กำหนดเงื่อนไขการจัดซื้อไว้
บ่อยครั้งที่เหตุผลเหล่านี้กลายเป็นข้ออ้างให้หลายเมกะโปรเจค หลีกเลี่ยงไม่ยอมเข้าโครงการ “ข้อตกลงคุณธรรม” ตาม พ.ร.บ. จัดซื้อฯ ไปอย่างน่าเสียดาย
ส่วนข้ออ้างเรื่องความลับราชการและความมั่นคงเปิดช่องให้คอร์รัปชันมายาวนาน ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมาวางกติกาให้ชัดเจน ว่าเรื่องใดถือเป็นความลับราชการได้ ภายใต้เงื่อนไขอย่างไร หน่วยงานใดและใครที่ควรมีอำนาจสั่งการเช่นนั้น
บทส่งท้าย..ข้อมูลจากกรมบัญชีกลางที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือ ในปี 2567 การจัดซื้อที่ใช้วิธี “อีบิดดิ้ง” สามารถช่วยให้รัฐประหยัดเงินเพิ่มมากขึ้นถึง 99,310.65 ล้านบาท หรือ 5.98% ของวงเงินงบประมาณ
ดังนั้นหากเราป้องกันคอร์รัปชัน ล็อกสเปก ฮั้วประมูล แล้วเข้มงวดให้ทุกหน่วยงานใช้อีบิดดิ้งมากขึ้นอีกสัก 5% ประเทศของเราคงเหลือเงินเพิ่มได้อีก 2 – 3 แสนล้านบาท มากพอสร้างโรงพยาบาลดีๆ สักร้อยแห่ง แล้วเหลือเป็นค่าอาหารกลางวันและนมโรงเรียนแจกเด็กทั่วประเทศได้อีกปีสบายๆ