“อานนท์” เดือดซัด MOU 43–44 กระทบอธิปไตยไทย
“อานนท์” เดือดซัด MOU 43–44 กระทบอธิปไตยไทย แฉ ผลประโยชน์ทับซ้อนโยงครอบครัวการเมืองดัง
วันที่ 21 ส.ค.68 ที่ ลานประชาชน รัฐสภา นายอานนท์ กลิ่นแก้ว ประธานกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน หรือ ศปปส. ขึ้นปราศรัยโจมตีรัฐบาล โดยระบุว่า ข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับที่ 43 และ 44 ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่ออธิปไตยทางบกและทางทะเลของประเทศไทย
นายอานนท์ กล่าวถึง MOU 43 ว่า เป็นบันทึกความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่กลับกลายเป็นต้นตอของความขัดแย้งยืดเยื้อ โดยเฉพาะเรื่องมาตราส่วนแผนที่ที่สองฝ่ายใช้ไม่ตรงกัน กัมพูชายืนยันใช้มาตราส่วน 1 : 200,000 ขณะที่ไทยยืนยันใช้มาตราส่วน 1 : 50,000 ความแตกต่างนี้ทำให้การตีเส้นแบ่งเขตไม่ตรงกัน และกลายเป็นเงื่อนไขที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์รุกล้ำพื้นที่ฝั่งไทยต่อเนื่องตลอดหลายสิบปี
“สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากการทำสงครามเงียบ พื้นที่ชายแดนของเราถูกบุกรุก ทหารไทยต้องปะทะ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ขณะที่ชาวบ้านบริเวณชายแดนก็ได้รับผลกระทบโดยตรง” นายอานนท์ กล่าว พร้อมย้ำว่า ปัญหาซับซ้อนยิ่งขึ้นเพราะประเทศไทยยังไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอย่างเป็นทางการ มีเพียงผู้รักษาการ ซึ่งสะท้อนถึงความอ่อนแอในการบริหารจัดการความมั่นคง
ขณะที่ MOU 44 นายอานนท์ ระบุว่าเป็นข้อตกลงที่เชื่อมโยงกับการเจรจาพื้นที่ทางทะเล โดยเฉพาะการสำรวจและแบ่งผลประโยชน์จากทรัพยากรพลังงานในเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย–กัมพูชา โดยอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เคยกล่าวถึงการแบ่งผลประโยชน์ในอัตรา 50 : 50 และต่อมาถูกสืบทอดแนวคิดโดยคนในครอบครัวชินวัตร
“นี่ไม่ใช่การเจรจาเพื่อผลประโยชน์ของชาติ แต่เป็นการเปิดทางให้กัมพูชาได้รับส่วนแบ่งร่วมกับครอบครัวชินวัตร ผลประโยชน์มหาศาลจึงไม่ได้ตกแก่ประชาชนไทย แต่กลายเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองและธุรกิจ” นายอานนท์ ปราศรัย โดยย้อนให้เห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวเริ่มมีการผลักดันตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งเป็นช่วงที่นายทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
นายอานนท์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ทั้ง MOU 43 และ 44 ไม่เพียงแต่สร้างความไม่มั่นคงทางพื้นที่ แต่ยังเป็น “กับดักทางการเมือง” ที่ผูกพันประโยชน์ทับซ้อนระหว่างผู้นำไทยบางคนกับกัมพูชา พร้อมประกาศว่าจะยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติอย่างถึงที่สุด