เกมกฎหมาย “ภาษีทรัมป์” สะเทือนโลก
ศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐฯ เพิ่งมีคำพิพากษากรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดมาตรการภาษีศุลกากรต่อประเทศต่าง ๆ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยองค์คณะศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐฯ มีคำพิพากษา 7 ต่อ 4 เสียง ชี้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ (International Emergency Economic Powers Act-IEEPA) ปี 2520 ซึ่งให้อำนาจควบคุมเศรษฐกิจในภาวะฉุกเฉิน อาทิ การจำกัดการส่งออกและการคว่ำบาตรต่อบางประเทศ แต่ไม่นับรวมการออกมาตรการภาษีศุลกากรโดยตรงที่เป็นอำนาจของสภาคองเกรส
คำตัดสินของศาลอุทธรณ์กลาง ระบุด้วยว่า ภาษีศุลกากรที่รัฐบาลสหรัฐฯ เรียกเก็บจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งบางประเทศเผชิญอัตราภาษีสูงถึงร้อยละ 50 จะยังมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม เพื่อให้รัฐบาลมีเวลายื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ซึ่งอาจใช้เวลาในการพิจารณาอีกระยะหนึ่ง ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุผ่านโซเชียลมีเดียว่า เขาจะต่อสู้ทางกฎหมายไปจนถึงศาลสูงสุด เพราะหากปล่อยให้คำพิพากษาดังกล่าวคงอยู่ จะเป็นการทำลายสหรัฐฯ อย่างแท้จริง
คำตัดสินของศาลอุทธรณ์กลางนับเป็นความพ่ายแพ้ครั้งที่ 2 ของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม ศาลการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น ก็ตัดสินว่ามาตรการกำแพงภาษีดังกล่าวผิดกฎหมาย หลังจากภาคเอกชนและ 12 รัฐในสหรัฐฯ รวมถึงรัฐนิวยอร์กและแคลิฟอร์เนียได้ยื่นฟ้องต่อศาล กรณีประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการกำหนดภาษีศุลกากร ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ
คำตัดสินของศาลเกี่ยวข้องกับมาตรการภาษีนำเข้า 2 ชุด ซึ่งรัฐบาลทรัมป์ใช้ในการประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติภายใต้กฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ ปี 2520 โดยภาษีชุดแรก คือ ภาษีตอบโต้แบบถ้วนหน้า (reciprocal tariff) ที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งมีการปรับแก้อัตราภาษีภายหลังการเจรจากับประเทศต่าง ๆ และโดยทั่วไปมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 สิงหาคม ส่วนภาษีชุดที่ 2 คือ ภาษีศุลกากรที่เกี่ยวกับการค้าผิดกฎหมาย สำหรับแคนาดา เม็กซิโกและจีน โดยมีการปรับแก้อัตราภาษีในเวลาต่อมา เพื่อให้ประเทศดังกล่าวเร่งยุติการลักลอบขนยาเสพติดและผู้อพยพข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐฯ ที่ถือเป็นภาวะฉุกเฉินระดับชาติ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญในการต่อสู้ทางกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลัก ๆ อยู่ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ภาษีศุลกากรเป็นอำนาจของสภาคองเกรส ไม่ใช่ประธานาธิบดี และกฎหมาย IEEPA ให้อำนาจควบคุมเศรษฐกิจในภาวะฉุกเฉิน แต่ไม่รวมมาตรการภาษี ซึ่งการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้กฎหมาย IEEPA แบบขยายขอบเขตไปถึงการกำหนดภาษีนำเข้าได้กลายเป็นปัญหาทางกฎหมาย เนื่องจากไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดใช้กฎหมายนี้ในการกำหนดภาษีศุลกากรมาก่อน แม้ว่าจะมีการใช้กฎหมาย IEEPA บ่อยครั้งในการกำหนดข้อจำกัดด้านการส่งออกและมาตรการคว่ำบาตรต่าง ๆ ต่อประเทศที่เป็นปรปักษ์กับสหรัฐฯ อาทิ อิหร่านและเกาหลีเหนือ
แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะยืนยันว่า การขาดดุลการค้าเป็นภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ แต่ฝ่ายผู้ยื่นฟ้องระบุว่า การขาดดุลการค้าแทบจะไม่เข้านิยามของภัยคุกคามที่ผิดปกติ ซึ่งจะถือเป็นเหตุผลในการประกาศภาวะฉุกเฉินภายใต้กฎหมายนี้ เนื่องจากสหรัฐฯ เผชิญภาวะขาดดุลการค้าติดต่อกันมา 49 ปี ทั้งในช่วงเวลาที่ดีและไม่ดี
แต่คำตัดสินของศาลไม่ครอบคลุมภาษีศุลกากรอื่น ๆ อาทิ ภาษีสินค้ากลุ่มเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งบังคับใช้หลังการสอบสวนของกระทรวงพาณิชย์สรุปว่า การนำเข้าเหล่านั้นเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ
คำตัดสินล่าสุดของศาลอุทธรณ์กลางทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายหลักด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมาตั้งแต่เดือนเมษายน โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้กำหนดให้ภาษีศุลกากรเป็นเสาหลักของนโยบายในการดำรงตำแหน่งวาระ 2 เพื่อสร้างแรงกดดันทางการเมืองและเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่กับประเทศต่าง ๆ ที่ส่งออกสินค้าให้กับสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีอำนาจต่อรองกับคู่ค้ามากขึ้น แต่ก็เพิ่มความผันผวนในตลาดการเงินด้วยเช่นกัน
น่าสนใจว่า คำตัดสินดังกล่าวเกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังต่อสู้ทางกฎหมายเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หลังเขาสั่งปลด “ลิซา คุก” ออกจากตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด ซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้าทางกฎหมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจทั้งหมดของประธานาธิบดีทรัมป์
การตัดสินของศาลสูงสุดจึงเป็นที่จับตามองจากทุกฝ่าย เพราะเป็นศาลสุดท้ายที่ชี้ขาดเรื่องนี้ โดยองค์คณะตุลาการในศาลสูงสุดสหรัฐฯ มี 9 คน ซึ่ง 6 คนได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน รวมถึง 3 คนที่ประธานาธิบดีทรัมป์เลือกในช่วงวาระแรกในการดำรงตำแหน่ง ซึ่งไม่ว่าศาลจะตัดสินออกมาทางใดก็จะนำไปสู่ความท้าทายที่ตามมา โดยหากศาลสูงสุดยืนยันคำตัดสินของศาลอุทธรณ์กลางก็อาจทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงิน เพราะจะมีคำถามว่าสหรัฐฯ จะต้องจ่ายเงินคืนหลายแสนล้านดอลลาร์ที่เก็บได้จากภาษีนำเข้าหรือไม่ ในทางกลับกัน หากศาลสูงสุดกลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์กลางและเข้าข้างรัฐบาลทรัมป์ ก็จะกลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่เอื้อให้ประธานาธิบดีใช้กฎหมาย IEEPA อย่างแข็งกร้าวยิ่งกว่าที่เคยทำมา
ในฝั่งของรัฐบาล หากประธานาธิบดีทรัมป์พ่ายแพ้ในการสู้ชั้นฎีกา ก็ยังมีทางเลือกอื่น ๆ ในการใช้กฎหมายจัดเก็บภาษีนำเข้า แต่จะจำกัดความรุนแรงและความรวดเร็วมากกว่า โดยประธานาธิบดีทรัมป์มีอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรเพื่อแก้ไขปัญหาขาดดุลการค้าภายใต้กฎหมายการค้า ปี 2517 ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจำกัดอัตราภาษีศุลกากรไว้ที่ร้อยละ 15 และใช้ได้เพียง 150 วัน สำหรับประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ ในระดับที่สูง นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังสามารถใช้มาตรา 232 ของกฎหมายขยายการค้า (Trade Expansion Act) ปี 2505 ที่ครอบคลุมการนำเข้าสินค้าที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งสหรัฐฯ ประกาศใช้กับสินค้าบางประเภท อาทิ เหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์
ประธานาธิบดีทรัมป์เผชิญภาวะที่ไม่สามารถถอยกลับได้ เนื่องจากมาตรการภาษีเป็นนโยบายหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และหากต้องยกเลิกมาตรการภาษี รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องคืนเงินภาษีบางส่วนที่จัดเก็บแล้ว ซึ่งจะส่งผลกระทบทางการเงินตามมา ทั้งนี้ ข้อมูลชี้ว่า สหรัฐฯ มีรายได้จากภาษีศุลกากรนับถึงเดือนกรกฎาคม อยู่ที่ 1.59 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ “สก็อตต์ เบสเซนต์” รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า รายได้จากภาษีศุลกากรน่าจะทะลุ 5 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี โดยจะเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม และเป็นไปได้ที่จะเร่งตัวขึ้นในเดือนกันยายน หรืออาจมากถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ เท่ากับรัฐบาลได้ช่วยลดการขาดดุลงบประมาณลงอย่างมีนัยสำคัญ
การต่อสู้ในชั้นฎีกายังทำให้ภาคธุรกิจและประเทศต่าง ๆ เผชิญความไม่แน่นอน โดยอาจชะลอกิจกรรมทางเศรษฐกิจลงเพื่อรอความชัดเจน นอกจากนี้ ยังอาจเกิดคำถามว่าเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ อาทิ สหภาพยุโรป (EU) อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ยังจะยึดกับข้อตกลงการค้าที่เจรจากับสหรัฐฯ หรือไม่ และข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่น ๆ ที่กำลังเจรจาอยู่ก็อาจเผชิญความโกลาหล เพราะไม่มีความชัดเจนว่าผู้นำสหรัฐฯ มีอำนาจดำเนินการเรื่องภาษีหรือไม่
สิ่งที่ตามมา คือ รัฐบาลสหรัฐฯ อาจสูญเสียอำนาจต่อรองในการเจรจา เพราะที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้มาตรการภาษีในการกดดัน EU ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ให้ยอมรับข้อตกลงการค้าฝ่ายเดียว และเก็บภาษีศุลกากรจำนวนมากสู่รัฐบาล
อินเดียที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 50 ก็อาจต้องประเมินท่าทีในการเจรจาใหม่ เช่นเดียวกับจีนที่จะต้องพิจารณาจุดยืนใหม่ในการเจรจาที่กำลังดำเนินอยู่ ส่วนความพยายามของ EU ในการขออนุมัติจากประเทศสมาชิกเกี่ยวกับผลการเจรจาก็อาจถูกตั้งคำถาม ในขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อาจเลือกที่จะชะลอความพยายามหาข้อสรุปไว้จนกว่าจะมีความชัดเจนทางกฎหมายของสหรัฐฯ มากกว่านี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “ทรัมป์” สู้ 3 ศาลปมกำแพงภาษีผิดกฎหมาย
- ไม่สนคำตัดสิน “สหรัฐฯ” ยันเดินหน้าดีล "ภาษีทรัมป์" กับคู่ค้าต่างประเทศต่อไป แม้ศาลอุทธรณ์ชี้ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย
- คาด “เฟด” เริ่มหั่นดอกเบี้ย ก.ย.นี้
- "พิชัย" เผยไทยเตรียมหารือภาษี "Local Content" กับทางการสหรัฐฯ สัปดาห์หน้า
- เปิดรายชื่อ "สินค้าส่งออกไทย" พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และโอกาสตลาดทดแทน หนีภาษีทรัมป์ 19%