ปราบ ‘ยาเสพติด’ ยุคเพื่อไทย จาก SEAL STOP SAFE ถึง Zero Drugs งานยาก แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ
ตั้งแต่เริ่มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในปี 2566 เป็นต้นมา สิ่งที่ประชาชนคาดหวังและเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดนอกจากปัญหาปากท้อง ก็คือการจัดการปัญหายาเสพติด ตัวเลขประชากรที่ใช้ยาเสพติดตามข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พบว่ามีผู้ใช้-ผู้เสพยาเสพติดมากถึง 3 ล้านคน และจำนวนยาเสพติดที่ผ่านเข้าไทยก็ทะลักเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ นับจากการรัฐประหารในเมียนมา ‘สามเหลี่ยมทองคำ’ ยังเป็นฐานการผลิตยาบ้าขนาดใหญ่ ขณะที่ในประเทศไทย ปัญหาสังคม-เศรษฐกิจที่รุมเร้า รวมถึงการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่รัฐในรัฐบาลยุคก่อนๆ ก็ทำให้ปัญหายาเสพติดยังคงอยู่และหนักหนามากขึ้น
หนักขนาดที่ว่าคนโหยหาการปราบยาเสพติดเด็ดขาด แบบยุค ‘สงครามยาเสพติด’ ในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เมื่อ 20 ปีก่อน เพราะในยุคนั้นยาบ้าราคาเม็ดละเกิน 100 บาท แต่ในยุคก่อนเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ยาบ้าอยู่ที่เม็ดละ 20-30 เท่านั้น
นั่นทำให้ตั้งแต่ เศรษฐา ทวีสิน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลพรรคเพื่อไทยตั้งเป้าแผน 1 ปี ในการปราบยาเสพติด เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ตั้งเป้ากำหนดพื้นที่ลักลอบการนำเข้ายาเสพติดให้แน่นหนา และตั้งตัวชี้วัดการจับกุมอย่างท้าทาย และตั้งตัวชี้วัดในระดับจังหวัด ให้จังหวัดหาผู้เสพหน้าใหม่ ตรวจคัดกรองผู้เสพให้ได้มากที่สุด ควบคู่ไปกับการจับเครือข่ายยาเสพติดรายใหม่
ผลจากนโยบาย 1 ปีของเศรษฐา มีการจับยึดยาบ้าได้มากกว่า 380 ล้านเม็ด เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 56% ขณะเดียวกันยังยึด-อายัดทรัพย์สินของพ่อค้ายาเสพติดได้มากกว่า 4,000 ล้านบาท
ยุค แพทองธาร ชินวัตร มีนโยบาย SEAL STOP SAFE นำพื้นฐานจากยุคเศรษฐามาเป็นมาตรการที่หนักแน่นขึ้น โดย SEAL คือปิดล้อม-ปิดกั้นเส้นทางลำเลียงและแหล่งผลิต STOP หยุดเครือข่ายค้ายา หยุดการกระจายยา ขณะที่ SAFE คือการทำให้ชุมชนปลอดภัยผ่านการคัดกรองและบำบัดผู้เสพ
ถึงตรงนี้ แพทองธารพูดเองว่า ยาบ้ามีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ อยู่ที่ 40-100 บาท รัฐบาลยังยืนยันว่า สถิติการจับยาบ้าก็สูงขึ้นเรื่อยๆ และการยึดทรัพย์พ่อค้ายาก็สูงขึ้นเช่นกัน
รัฐบาลแพทองธารน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดำเนินการ ‘ธวัชบุรีโมเดล’ ที่ตั้งชื่อตามอำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีการตรวจคัดกรองพื้นที่จนพบผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมากกว่า 2.9 หมื่นคน จากนั้นจึงนำเข้าขบวนการบำบัดผู้เสพ ผ่านระบบชุมชนบำบัด และยังใช้ค่ายทหารในพื้นที่อำเภอธวัชบุรีเป็นศูนย์บำบัดอย่างครบวงจร รวมถึงโครงการ ‘ท่าวังผาโมเดล’ ที่ยึดตามชื่ออำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ดำเนินการในลักษณะเดียวกันคือ คัดกรอง-บำบัดผู้ป่วยจนครบ
ไม่เพียงเท่านั้น ในภาพของการจับกุม เพียงอำเภอเดียวยังจับกุมยาเสพติดได้มากกว่า 285 คดี มีผู้ต้องหา 364 คน และมียาเสพติดรวม 8.4 หมื่นเม็ด
ผลของธวัชบุรีโมเดลและท่าวังผาโมเดล ทำให้แพทองธารตั้งเป้าขยายไปจังหวัดต่างๆ 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ อุทัยธานี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ สกลนคร นครพนม ระยอง นครศรีธรรมราช ตรัง และนราธิวาส ว่าจะใช้วิธีคิดแบบเดียวกัน เริ่มตั้งแต่ต้นทางอย่างการปิดผนึกชายแดนให้เข้มงวด ไปจนถึงการเอ็กซ์เรย์แหล่งอโคจรในพื้นที่ และร่วมมือกับหลายภาคส่วนในการบำบัด คืนคนให้สังคม
ขณะเดียวกันหลังปรับคณะรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย นั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรื่องการจัดการยาเสพติดยังเข้มข้นขึ้นไปอีก ภูมิธรรมประกาศให้เรื่องการจัดการยาเสพติดเป็นวาระสำคัญที่สุด เป็นงานแรกๆ ที่ทำ โดยมีการจัดกิจกรรม มหาดไทย-ตำรวจ-สาธารณสุข ปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติดเชิงรุกทุกพื้นที่ โดยใช้กำลังของฝ่ายปกครองร่วมกับตำรวจและกระทรวงสาธารณสุข
“ประเทศไทยต้องปลอดยาเสพติดทั่วทั้งแผ่นดิน ภายใน 3 เดือนนี้ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน อย่างน้อยที่สุดจะได้รู้ว่าการร่วมมือกันทั้งหมดภายใน 3 เดือน ผลที่ออกมาจะเป็นยังไง และจะมีตัวชี้วัดสำคัญ คือ ‘ประชาชนในชุมชน’ ถ้าเขาบอกว่าไม่มียาเสพติดก็เข้าใจได้ว่ามันไม่มี แต่ถ้าเขาบอกว่ามันยังมี ถึงแม้ตัวเลขเราดี ก็ต้องทบทวนตรวจสอบว่ามันยังหลุดสายตาจากส่วนไหนไป เพื่อดำเนินการต่อ ดังนั้นภายใน 3 เดือนเป็นจุดแตกหักความสำเร็จการแก้ปัญหายาเสพติดของประเทศไทย” ภูมิธรรมประกาศชัดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 วันคิกออฟเรื่องการจัดการยาเสพติด
ขณะเดียวกันตัวชี้วัดใน 3 เดือน ยังมีมากถึง 6 ตัวชี้วัด เป็นต้นว่า “หากการจัดการชายแดนได้ผลจริง การจับกุมยาเสพติดในพื้นที่จะต้องลดลง” “การจับกุมผู้ค้า ต้องขยายไปถึงเครือข่ายได้มากขึ้น” “กระบวนการบำบัดฟื้นฟูต้องเข้มข้นมากขึ้น โดยทุกรายต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู” โดยเป้าหมายสูงสุดของภูมิธรรมคือ Zero Drugs Thailand
เป็นนโยบายที่เข้มข้นและขึงขังมากขึ้น หากเทียบกับกระทรวงมหาดไทยยุคก่อนหน้าที่พรรคภูมิใจไทยเป็นผู้ดูแล
ภาพทั้งหมดสะท้อนว่า พรรคเพื่อไทยอาจมีภาพการจัดการยาเสพติดที่ชัดเจนอยู่ในหัว และตั้งใจ เอาจริง ให้ปัญหายาเสพติดกลายเป็นศูนย์เร็วที่สุด โดยอาศัยทุกองคาพยพปูพรม เดินหน้าตามนโยบาย SEAL STOP SAFE บวกกับท่าทีขึงขังของเจ้ากระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกฯ ที่ตั้งเป้าระยะสั้นให้ได้ทุกอย่างรวดเร็ว
แต่เรื่องยาเสพติดในประเทศไทยมีความซับซ้อน ผู้ที่เกี่ยวข้องมีทั้งนักการเมือง ข้าราชการ รวมถึง ‘คนมีสี’ ทั้งหลาย ต่างก็พัวพันกับบรรดาเอเยนต์ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ยิ่งยุคทุกอย่างออนไลน์ ระบบส่งของ-รับของง่ายขึ้น ทุกอย่างก็จัดการยากขึ้น นั่นแปลว่าระบบต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา สูตรเดิม ไม่สามารถใช้ได้กับทุกเรื่อง
อย่างไรก็ตามเชื่อว่า คนไทยอยากเห็นความคืบหน้าเรื่องนี้ไม่ต่างจากรัฐบาล หากทำได้ สังคมจะปลอดภัยขึ้น เด็กๆ จะอยู่ในระบบการเรียนมากขึ้น มีโอกาสทางการศึกษามากกว่าในวันนี้
ถ้าเริ่มต้นด้วยเป้า 3 เดือน ขยายผลต่อไปเรื่อยๆ โดยทุกฝ่าย ‘เร่งเครื่อง’ ให้อยู่ในจังหวะเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เชื่อว่าเป้าหมายน่าจะไม่ไกลเกินเอื้อม