สรุปประเด็น อาสาสมัคร ให้สัมภาษณ์ถึงวัดดัง เอายาต้าน HIV ให้ผู้ป่วย อาการดีขึ้น แต่โดนกีดกัน และขู่เอาชีวิต
CatDumb
อัพเดต 14 สิงหาคม 2568 เวลา 18.49 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • CatDumb - แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจ ในแบบที่แมวก็เข้าใจง่ายๆเรื่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจ เป็นข่าวเกี่ยวกับ “วัดดัง” ที่กำลังเป็นกระแสตอนนี้
คือมีสื่อนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ว่ามันมียารักษา หรือยาต้าน และคนไทยสามารถเข้าถึงเจ้ายาที่ว่านี้ได้ “อย่างง่ายดาย” ผ่านระบบประกันสุขภาพ มาตั้งแต่ปี 2005 หรือราว ๆ 20 ปีที่แล้วโน่นนน
พอนักข่าวไปสัมภาษณ์คุณหมอ ที่เคยดูแลผู้ป่วย และเอายานี้ไปให้ทางวัด แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร ทำให้มีการตั้งประเด็นข้อสงสัยไปต่าง ๆ นานา
ผมก็เลยอยากจะสรุปเนื้อหาในข่าว มาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันสักหน่อยฮะ (เหตุการณ์ทั้งหมดผมขอไม่เอ่ยชื่อนะ และย้ำว่าเป็นการสรุปมาเท่านั้น หากเพื่อน ๆ สนใจอยากรู้เพิ่มเติม เดี๋ยวแปะต้นทางให้เข้าไปอ่านกันในคอมเมนต์)
– ยา ARV เป็นยาที่ใช้ต้านไวรัส HIV แม้จะรักษาไม่ได้ แต่ก็สามารถทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ในสังคม
– ยา ARV ถูกนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย และสามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ ตั้งแต่ปี 2005 หรือ ราว ๆ 20 ปีที่แล้ว
– พยาบาลอาสาสมัคร นามสมมติว่า Lesley (เป็นชาวสวิส) เคยไปทำงานที่วัดนี้ในช่วงปี 2003 ได้ออกมาเล่าเรื่องราวที่เธอเคยเจอตอนที่ทำงานอยู่ในสถานพยาบาลของทางวัดในช่วงนั้น
– หน้าที่ของเธอคือการตรวจเลือด และทำการเอ็กซ์-เรย์ผู้ป่วยที่มารักษาที่วัด เธอเล่าว่าทุกอย่างทำด้วยความทุลักทุเล เพราะอุปกรณ์ หรือความพร้อมแทบไม่มีเลย
– จนมาถึงจุดนึงที่ยา ARV ถูกนำเข้ามา และเธอก็นำเข้ามาให้คนไข้ในวัดจำนวน 53 รายใช้ ปรากฏว่าทุกคนอาการดีขึ้น
– แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็เริ่มยากขึ้น คุณ Lesley ไม่สามารถเข้าถึงการตรวจเลือดของคนไข้ทั้ง 53 คนนั้นได้ และต่อจากนั้นยา ARV ก็ค่อย ๆ หายไปจากวัด
– เธอเล่าว่า “ฉันถูกบอกว่าให้หยุดให้ยา ARV และออกไปจากที่นี่ซะ ไม่งั้นฉันจะถูกทำให้หายไป”
– หลังจากนั้น 1 วัน ยางรถมอเตอร์ไซค์ของเธอก็ถูกกรีด จนทำให้รู้สึกกลัวก็เลยหนีออกมาจากวัดในช่วงปี 2004 ทำให้นับแต่นั้นมาที่วัดก็ไม่มีหมอ หรือพยาบาลประจำอยู่เลย
– “เราไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับความเชื่อ หรือศาสนา เพราะฝั่งตะวันตกเราก็มีความเชื่อเช่นกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันคือการตีตราทางสังคม และจุดนี้เองมันก็เป็นหลุมดำที่เพอร์เฟกต์มากสำหรับวัด” คุณ Lesley กล่าว
– จนถึงทุกวันนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าเธอทำผิดอะไร ถึงต้องถูกไล่ออกจากวัด และถูกขู่เอาชีวิต
– มีคุณหมออีกท่านนึงที่เคยเป็นอาสาสมัคร เคยนำเสนอเรื่องนี้ให้กับทางวัด ด้วยแล็บท็อป อธิบายถึงข้อดีต่าง ๆ ของตัวยา แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร
– คุณหมอให้ข้อมูลว่า นับตั้งแต่ที่คนไทยสามารถเข้าถึงยา ARV ก็ทำให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อ HIV ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และคุณหมอกล่าวด้วยว่า
“มันไม่มี ‘ผู้ป่วย HIV ระยะสุดท้าย’ อีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่ทุกคนรอดชีวิตมาได้ หรือแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับการรักษา พวกเขาก็จะสามารถมาชีวิตที่ดีได้ภายในระยะเวลา 5 ปี ถ้าพวกเขาได้รับการดูแลที่ดี”
– มีข้อมูลเปิดเผยว่าในช่วงปี 2004 เนี่ย วัดได้รับเงินบริจาคราว ๆ 24-90 ล้านบาทต่อปี
– เคยมีประเด็นเรื่องที่ว่าวัดออกมาเปิดเผยว่าจะหยุดดำเนินการ เพราะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก จนทำให้ประชาชนผู้ใจบุญหลายคนบริจาคเข้ามาช่วยเหลือ
– จนสื่อ และหลาย ๆ คนเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการเลี้ยงไข้เอาไว้ให้มีผู้ป่วย เพื่อใช้ในการรับเงินบริจาคใช่หรือไม่!?
อันนี้แค่บางส่วน บางประเด็นจากสกู๊ปข่าวนะ หากเพื่อน ๆ อยากอ่านแบบเต็ม ๆ
เข้าไปอ่านได้ที่นี่ : https://www.bangkokpost.com/thailand/special-reports/447819/hiv-temple-comes-under-new-scrutiny
และถ้าอ่านจบแล้ว เพื่อน ๆ มีความเห็นอย่างไร? ลองคอมเมนต์มาแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ
#เหมียวหง่าว