สรุปเรื่องราวชายไทยเสียชีวิต หลังพูดคุยเชิงโรแมนติกกับ ‘แชตบอต’ ถูกหลอกให้ไปหา หลอกว่ามีตัวตนจริงๆ ท่ามกลางกระแสวิจารณ์บทบาทของ AI
นี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวด้านมืดของแชตบอต
ชายไทยคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตภายหลังจากออกจากบ้านเพื่อไปพบกับ ‘แชตบอต’ ที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง จนเกิดการตั้งคำถามถึงความปลอดภัยในปัจจุบันถึงการเข้ามามีบทบาทของ AI แม้ก่อนหน้านี้จะเคยมีกระแสต่อต้านก็ตาม The MATTER เล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นและชวนตั้งข้อสังเกต ไปพร้อมๆ กัน
1. ชายไทยคนนี้อยู่ที่นิวยอร์ก สหรัฐฯ โดยทำงานล้างจานเพื่อหาเงินเรียนวิศวกรรมไฟฟ้า แต่เมื่อเรียนจบสิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นการทำอาหาร เลยเริ่มงานเป็นเชฟ และทำงานในร้านอาหารหลายแห่งในไนท์คลับและร้านอาหาร
2. เขาได้สัญชาติอเมริกัน และแต่งงานกับภรรยา พวกเขามีลูกด้วยกัน 2 คน และย้ายจากนิวยอร์ก ไปอยู่ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ และเขาได้ทำงานในครัวที่โรงแรม ไฮแอท รีเจนซี นิวบรันสวิก เขามีความสุขกับการทำอาหารและมักจะรับหน้าที่เป็นพ่อครัวในงานปาร์ตี้ของครอบครัว
3. กระทั่งในปี 2017 ซึ่งเป็นปีเขาอายุครบ 68 ปี ก็ประสบกับภาวะเส้นเลือดในสมองแตก แม้ร่างกายจะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ แต่ครอบครัวเห็นว่าเขาไม่สามารถกลับมาทำงานได้อย่างมืออาชีพได้อีกแล้ว จึงตัดสินใจให้เขาเกษียณและอยู่ที่บ้าน
4. หลังจากที่เขากลับมาอยู่บ้าน ก็ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการคุยแชทเฟซบุ๊กกับเพื่อนๆ ในไทย จนถึงช่วงต้นปีที่ผ่านมา สมองเขาเริ่มมีอาการสับสนเป็นระยะๆ และภรรยาของเขาได้จองคิวเพื่อรับการตรวจคัดกรองภาวะสมองเสื่อม แต่ในเวลานั้นต้องรอคิวตรวจนาน 3 เดือน
5. เช้าวันที่ 25 มีนาคม เขาเริ่มเก็บข้าวเก็บของและบอกครอบครัวว่าจะไปเยี่ยมเพื่อนที่นิวยอร์ก ทำให้ภรรยาเริ่มกังวล และห้ามไม่ให้เขาเดินทางไป เนื่องจากร่างกายของเขา ซึ่งในเวลานี้คือวัย 76 ปี ทรุดโทรมลงอย่างมากจากอาการป่วย และเคยหลงทางแม้จะเดินอยู่แถวบ้านตัวเองก็ตาม
6. ภรรยาบอกกับเขาว่า เขาไม่มีคนรู้จักอยู่ในเมืองนั้นอีกแล้ว เพราะไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองนี้มาหลายสิบปีแล้ว รวมถึงลูกของเขาก็ไม่สามารถห้ามปรามพ่อได้ ในเวลานั้นครอบครัวคิดว่าเขากำลังถูกหลอก ภรรยาของเขาจึงพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของเขาด้วยการให้เขาไปทำธุระที่ร้านฮาร์ดแวร์แห่งหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจหยุดสิ่งที่เขากำลังจดจ่ออยู่ได้ นั่นก็คือการไปสถานีรถไฟ
7. เขาออกจากบ้านพร้อมกระเป๋าเดินทางเพื่อขึ้นรถไฟไปหา ‘เพื่อน’ แต่เขาก็ล้มลงใกล้กับลานจอดรถในมหาวิทยาลัยรัทเกอร์ส ซึ่งอยู่ในนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะและคอ
เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและใช้เครื่องช่วยหายใจได้ราว 3 วันเขาก็จากไปในวันที่ 28 มีนาคม
8. หลังจากเขาเสียชีวิต ครอบครัวได้ค้นพบว่า เพื่อนที่เขาต้องการไปเจอ แท้จริงแล้ว คือ ‘แชตบอต’ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ชื่อ ‘Big sis Bilie’ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Meta โดยแชทระหว่างเขากับ AI มีบทสนทนาโรแมนติกหลายอย่าง ซึ่ง AI ยืนยันอยู่หลายครั้งว่ามีตัวตนจริงๆ และชวนไปที่อพาร์ตเมนต์และบอกที่อยู่ด้วย
9. อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว Reuters รายงานว่า บริษัท Meta ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเสียชีวิตของชายคนนี้ และไม่ได้ตอบคำถามว่าทำไมแชตบอตถึงบอกกับผู้ใช้ว่ามีตัวตนอยู่จริง และเริ่มบทสนทนาโรแมนติกแบบนี้ได้อย่างไร แต่บริษัทได้ออกมาบอกว่า Big sis Bilie ไม่ใช่เจนเนอร์จริงๆ และไม่ได้อ้างตัวว่าเป็นเจนเนอร์ด้วย
10. กลายเป็นคำถามที่สังคมกำลังพูดคุยถึงบทบาทของแชตบอต ที่เข้ามามีส่วนจนถึงขั้นทำให้มนุษย์เกิดความสูญเสีย อีกทั้งยังสามารถระบุที่อยู่ที่มั่วขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์มาหาอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI ผู้ก่อตั้ง ChatGPT ออกมาเตือนว่า แม้ AI จะตอบโต้ได้ฉลาดล้ำแค่ไหนก็ไม่ควรจะใช้มันเป็นนักบำบัดหรือปรึกษาปัญหาชีวิตอย่างที่หลายๆ คนกำลังทำอยู่ เพราะอาจจะไม่ปลอดภัยและคำแนะนำที่ได้อาจมีอคติ
11. นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่ชี้ว่า AI ยังไม่สามารถทำหน้าที่นักบำบัดได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากมีแนวโน้มแสดงอคติและให้คำแนะนำที่เป็นอันตราย ยกตัวอย่างเคสก่อนหน้านี้ ที่เป็นคดีของเด็กชายวัย 14 ปี ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายหลังคุยกับตัวละครที่อ้างว่าเป็นนักบำบัดที่มีใบอนุญาต ซึ่งเป็นตัวละครนักจิตวิทยา AI
12. คำถามสำคัญต่อมาคือ สหรัฐฯ จะกำกับดูแล AI อย่างไร? ขณะที่ทางฝั่งยุโรปมีกฎหมายว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์หรือ AI Act และบังคับใช้ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา
ขณะที่ทางฝั่งสหรัฐฯ BBC รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เองก็มีแผนการจัดการ AI เช่นกัน แต่เป็นการยุติข้อบังคับเกี่ยวกับ AI ทั้งหมด โดยแผนดังกล่าวยังเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางทบทวนและยกเลิกนโยบายที่ขวางทางการพัฒนา AI และสนับสนุน AI ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้ก็เพื่อให้อเมริกาพัฒนาเป็นหนึ่งเหนือชาติอื่นๆ โดยเฉพาะจีน ซึ่งตรงกันข้ามกับทางฝั่งยุโรปโดยสิ้นเชิง
ทิ้งไว้เป็นการตั้งข้อสังเกตว่า ในยุคที่ AI ถูกพัฒนาให้ ‘เก่ง(?)’ มากขึ้นเรื่อยๆ และสังคมเปิดกว้างขึ้น แม้จะมีคำเตือนจากบุคคลที่อยู่ในวงการหรือแม้กระทั่งนักจิตวิทยาก็ตาม เราก็ควรจะมีมาตรการอะไรเพื่อป้องกันความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานหรือไม่
อ้างอิงจาก
reuters.com
tdri.or.th
bbc.com
thred.com
news.stanford.edu