ThaiBMA หั่นเป้ายอดออกหุ้นกู้ปี 68 เหลือ 8 แสนล้าน ครึ่งหลังยังน่ากังวล
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า สมาคมฯ ปรับลดคาดการณ์ยอดออกหุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวในปี 2568 เหลือ 800,000 ล้านบาท จากเดิมคาดอยู่ที่ 850,000-900,000 ล้านบาท เนื่องจากในครึ่งปีแรกยอดออกหุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวมีมูลค่า 398,820 ล้านบาท ลดลง 19.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีมูลค่า 494,371 ล้านบาท
โดยยอดออกหุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวในช่วงครึ่งปีแรกที่ปรับตัวลดลง เป็นหุ้นกู้ Investment Grade มูลค่า 372,697 ล้านบาท ลดลง 19.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ หุ้นกุ้ High Yield มูลค่า 26,123 ล้านบาท ลดลง 13.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับสาเหตุที่ยอดออกหุ้นกู้ Investment Grade ลดลง เพราะสภาพปัจจุบันมีจังหวะดอกเบี้ยผันผวน ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ที่มีเรทติ้ง AAA ส่วนใหญ่หันไปใช้สินเชื่อธนาคารแทน
โดยในช่วงครึ่งปีแรกหุ้นกู้เรทติ้ง AAA ออกมาเสนอขาย 23,700 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ออกหุ้นกุ้ 48,900 ล้านบาท
ขณะที่ในครึ่งหลังปี 2568 มีหุ้นกู้ระยะยาวครบกำหนดรวมมูลค่า 414,810 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นกู้ Investment Grade จำนวน 365,923 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 88% ของหุ้นกู้ระยะยาวครบกำหนดดังกล่าว และหุ้นกู้ High Yield หรือกลุ่มที่มีเรตติ้งต่ำกว่า BBB- ลงไปถึงไม่มีเรตติ้ง จำนวน 48,887 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 12% ของหุ้นกู้ระยะยาวครบกำหนดดังกล่าว
“ในช่วงครึ่งปีหลัง สถานการณ์หุ้นกู้ภาคเอกชนยังน่ากังวล เนื่องจากเศรษฐกิจไทยชะลอตัวนาน และยังมีประเด็นภาษีของสหรัฐที่จะเข้ามาซ้ำเติม ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ก็อาจจะกระทบถึงบริษัทขนาดใหญ่ได้” นางสาวอริยา กล่าว
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ ThaiBMA กล่าวว่า จากผลกระทบเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้กังวลถึงความสามารถการทำกำไรของบริษัทที่ออกหุ้นกู้ ซึโดยช่วงที่ผ่านมามีหุ้นกู้ขอยืดหนี้มากขึ้น หรือบางรายผิดนัดชำระหนี้ (Default) ทำให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุน ต้องเลือกบริษัทที่มีความเชื่อมั่น หลีกเลี่ยงไม่ลงทุนในบริษัทที่อาจมีความเสี่ยง
โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีหุ้นกู้ผิดนัดชำระรวมมูลค่า 2,337 ล้านบาท และมีหุ้นกู้ที่เลื่อนกำหนดชำระ รวมมูลค่า 17,540 ล้านบาท
ทั้งนี้ มูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 17.3 ล้านล้านบาท ขยายตัว 1.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ที่ออกโดยภาครัฐเป็นสำคัญ