OSP ฝาเหลืองพลิกเกม! ดันมาร์เก็ตแชร์พุ่ง
คุณค่าบริษัท
เคยถูกปรามาสว่า การที่บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ประกาศสงครามราคาด้วยการออกสินค้าใหม่ M-150 ฝาเหลืองสูตรน้ำผึ้ง ขนาด 150 มิลลิลิตร ขายในราคาเดิม 10 บาท วางจำหน่ายเฉพาะช่องทาง Traditional Trade ในร้านค้าโชห่วยต่างจังหวัด และเน้นโซนที่มีปัญหา ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา
ไม่ต่างจากการหยิกเล็บเจ็บเนื้อ เพราะนักวิเคราะห์ประเมินว่า แม้ทำให้มาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้น แต่ OSP ต้องแลกมาด้วยมาร์จิ้นที่ต่ำลง และที่สำคัญจะไปกินส่วนแบ่งการตลาดของ M-150 ราคา 12 บาทเองด้วย…นั่นหมายถึงผลประกอบการปีนี้น่าจะเติบโตลดลง
แต่ล่าสุดกลยุทธ์ M-150 ฝาเหลือง 10 บาท ของ OSP ได้รับการพิสูจน์ว่าน่าจะมาถูกทางแล้ว เพราะสามารถดันมาร์เก็ตแชร์ในเดือน เม.ย. 2568 ให้พุ่งแตะ 45% จากสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 44.5%
ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,265.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 828.49 ล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษ 295 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรจากการขายเงินลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายขวดแก้วในเมียนมา จะมีกำไรจากการดำเนินงาน 970 ล้านบาท เติบโต 17.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดยอัตรากำไรขั้นต้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 40.3% จากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลที่มีอัตรากำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ย ประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น และราคาต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง
ขณะที่นักวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อ OSP มากขึ้น โดย บล.เคจีไอ ระบุว่า OSP กลับมาครองส่วนแบ่งตลาดในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของไทยในภาวะอิ่มตัวอีกครั้งด้วย M-150 ราคา 10 บาท ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่มีความเสี่ยงสูง โดยส่งสัญญาณการป้องกันเชิงรุกท่ามกลางปริมาณยอดขายที่ลดลง แม้จะมีความเสี่ยงด้านลบจากการตอบโต้ราคาที่อาจเกิดขึ้น
แต่ผลกระทบต่อมาร์จิ้น ดูเหมือนจะถูกประเมินไว้สูงไป จากมีสัญญาณเบื้องต้นถึงการที่สินค้าแย่งยอดขายกันเองที่ต่ำ ด้วยปริมาณส่วนแบ่งตลาดที่ 30.5% และมูลค่าส่วนแบ่งตลาดที่ 45% กำไรหลักปี 2568-2570 ของ OSP น่าจะเติบโต 8%/5%/5% ซึ่งสูงกว่า consensus หนุนจากธุรกิจในต่างประเทศและกลุ่มของใช้ส่วนบุคคลที่มีมาร์จิ้นสูง
ด้าน บล.ดาโอ คาดกำไรปกติในไตรมาส 2/2568 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ขยายตัว และกำไรทรงตัวหรือขยายตัวเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน หนุนโดยรายได้ขยายตัวจากรายได้ domestic beverage และ personal care ที่ขยายตัว
ทั้งนี้ คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 3,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109% และกำไรปกติที่ 3,131 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% หนุนโดย 1) รายได้รวมเพิ่มขึ้น 5% 2) GPM ขยายตัว จาก raw & packaging materials ที่ปรับตัวลดลง และ 3) SG&A expenses ทรงตัว จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) ปัจจุบันราคาหุ้น OSPซื้อขายกันที่ P/E ระดับ 22.01 เท่า เทียบกับ P/E ตลาดโดยรวมที่ระดับ 15.12 เท่า ถือว่าราคาซื้อขายสูงกว่าตลาด สอดคล้องกับ P/BV ที่ระดับ 2.73 เท่า ก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดที่ปัจจุบันซื้อขาย P/BV เฉลี่ยที่ 1.05 เท่า โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 18.65 บาท จากราคาต่ำสุด 16.00 บาท และราคาสูงสุด 24.00 บาท