W Shape Thinking: วิศรุต กริ่มทุ่งทอง เปลี่ยนปัญหาแพงให้เป็นความสำเร็จ
W Shape Thinking: ถอดรหัสความคิด วิศรุต กริ่มทุ่งทอง ผู้เปลี่ยน ‘ปัญหาราคาแพง’ ให้เป็น ‘ความสำเร็จ’
ในโลกที่ซับซ้อน คำตอบที่ถูกต้องอาจไม่ใช่ทางซ้ายหรือทางขวา…แต่อยู่ในเส้นทางที่ยังไม่มีใครเคยสร้าง
ผมมาที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อพูดถึงตัวเลขความสำเร็จ แต่เพื่อพยายามทำความเข้าใจ ‘จักรวาลทางความคิด’ ของชายที่ชื่อ วิศรุต กริ่มทุ่งทอง เขาคือวิศวกรผู้ผันตัวมาเป็นผู้ประกอบการ แต่คำนิยามเหล่านั้นดูจะคับแคบเกินไปสำหรับภารกิจที่เขากำลังรังสรรค์ในฐานะผู้นำทางความคิด (Thought Leader) รุ่นใหม่
ณ ห้องทำงานใจกลางเอกมัย บทสนทนาของเราไม่ได้วนเวียนอยู่แค่เรื่องธุรกิจ แต่ดำดิ่งไปสู่แก่นของการ "ออกแบบทางออก" ให้กับปัญหาที่ดูเหมือนจะไร้ทางแก้ หรือที่เขาเรียกว่า “ปัญหาราคาแพง” (Wicked Problems) ผ่านแนวคิดที่ชื่อว่า W Shape Thinking—แนวคิดที่ทรงพลังจนส่งให้เขาคว้ารางวัลผู้นำระดับโลก Asia Top CEO Excellence Awards 2025 และกำลังจะกลายเป็นพิมพ์เขียวสำหรับผู้นำแห่งอนาคต (Future Leader)
จุดเริ่มต้น: เมื่อความจนคือ "โจทย์ข้อแรก" ของชีวิต
เรื่องราวของวิศรุตไม่ได้เริ่มต้นที่ความสำเร็จ แต่เริ่มต้นที่การเผชิญหน้ากับ"ปัญหา" ตั้งแต่วันแรกที่เขาลืมตาดูโลก
"ผมเกิดที่อุทัยธานี ในครอบครัวข้าราชการครู สิ่งที่ผมจำได้คือ ครอบครัวเรามีหนี้เยอะมาก เราอยู่บ้านพักข้าราชการ ไม่เคยมีบ้านเป็นของตัวเองเลยจนผมโต" วิศรุตเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
ความจนสำหรับเขาไม่ใช่เพียงการขาดแคลนเงิน แต่มันคือระบบที่มองไม่เห็นซึ่งคอยจำกัดทางเลือกและกัดกร่อนความฝัน "ความจริงแล้ว ความจนมันเหมือนถนนที่เป็นวงเวียนที่นำไปสู่ 'จน โง่ เจ็บ' วงเวียนที่ผมเห็นทุกวัน ผ่านชีวิตครอบครัวผมเองและคนรอบข้าง คนจนมักจะไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ก็ตัดสินใจผิดพลาดบ่อย พอเจ็บป่วยก็ยิ่งจนลงเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ"
ท่ามกลางวงจรที่ดูสิ้นหวัง แสงสว่างแรกปรากฏขึ้นเมื่อเขาอายุ 7 ขวบ คุณตาซึ่งเป็นวิศวกรก่อสร้างจากกรุงเทพฯ ขับรถเบนซ์มาเยี่ยม ภาพนั้นไม่ได้เป็นเพียงแรงบันดาลใจให้เด็กชายคนหนึ่ง แต่มันคือ"หลักฐานของความเป็นไปได้" ที่พิสูจน์ว่าวงจรนี้สามารถถูกทำลายได้ "มันเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นกับตาว่ามีคนทำได้ ผมก็ต้องทำได้เหมือนกัน"
ความมุ่งมั่นนั้นผลักดันให้เขาทำในสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นไปไม่ได้"ผมอยากเรียนวิศวะจุฬาฯ พอไปบอกอาจารย์ตอนที่ผมอยู่มัธยมปลาย อาจารย์บอกว่าแทบเป็นไม่ได้ เพราะไม่เคยมีใครในโรงเรียนทำได้มาก่อน แต่ผมเป็นก็สอบเอ็นทรานซ์เข้าวิศวะจุฬาฯ ได้สำเร็จ"
จากสัญชาตญาณสู่ระบบ: กำเนิด W Shape Thinking
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยยังคงเป็นการต่อสู้ และที่นี่เองที่สัญชาตญาณของ"นักสร้างทางออก" ได้ฉายแววเป็นครั้งแรก
วิศรุต: ตอนเรียนวิศวะที่จุฬาฯ ครับ ด้วยโอกาสทางการเงินที่จำกัด ผมถูกบังคับให้มองหา "มูลค่า" ในที่ที่คนอื่นไม่สนใจ ตอนนั้นมีหอพักใหม่กำลังจะเปิดใต้หอพักเป็นร้านค้า ผมมองว่ามันคือ "โอกาสในการเข้าถึงก่อนใคร" ผมไปเจรจาจองห้องพัก 3 ห้องโดยที่ยังไม่มีเงินจ่ายด้วยซ้ำ แล้วขายใบจองนั้นต่อ
"คนอื่นอาจจะเห็นว่าผมขายห้อง แต่ในความคิดผม ตอนนั้นผมกำลังขาย 'โอกาส' ในการเปิดร้านทำธุรกิจ แต่มันมีมูลค่า" บทเรียนนั้นสำคัญมากครับ มันสอนให้ผมรู้ว่า เราสามารถสร้างมูลค่าจากสิ่งที่มองไม่เห็นได้
นั่นคือสัญชาตญาณ แต่ W Shape Thinking คือระบบความคิด… อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณต้องเปลี่ยน "สัญชาตญาณ" ให้กลายเป็น"กระบวนการ" ที่คนอื่นเรียนรู้ตามได้?
วิศรุต: คือตอนที่ผมไปเป็นวิศวกรจราจรทำโครงการออกแบบเส้นทางที่ลาวครับ ผมหลงทางเจอทางแยก เราถามทางคนท้องถิ่นสองคน คนหนึ่งชี้ซ้าย อีกคนชี้ขวา และทั้งคู่ต่างมั่นใจในคำตอบของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม วินาทีนั้นผมเข้าใจเลยว่า ในโลกแห่งความจริงทางแยก็เหมือนกับปัญหาที่ซับซ้อนมันไม่มีคำตอบที่ "ถูก" เพียงหนึ่งเดียว
"คนส่วนใหญ่มักจะพยายามเลือกว่าจะเชื่อซ้ายหรือขวา แต่คำถามที่ทรงพลังกว่าคือ 'เราจะสร้างทางที่สามขึ้นมาจากได้อย่างไร?'" นั่นคือแก่นของ W-Shape ครับ มันคือกระบวนการของการจงใจเดินลงไปสำรวจมุมมองที่แตกต่างกันสุดขั้ว เพื่อกลับขึ้นมาสังเคราะห์เป็นทางออกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
W Shape Thinking: คิดและแก้แบบ “เส้นทางที่ยังไม่มีใครสร้าง”
แนวคิด W Shape Thinking ไม่ใช่แค่ทางออก หากแต่คือกระบวนการเปลี่ยน “ปัญหาราคาแพง” ให้กลายเป็น “โอกาสทอง”
W สื่อถึงเส้นทางแก้ปัญหาที่ไม่ใช่เส้นตรง ตรงไปตรงมา หรือสุดขั้วซ้ายขวา แต่คือการ “ดิ้นรน ตกต่ำ ลุกขึ้น เรียนรู้” ตามจังหวะชีวิตจริง
จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ: เมื่อ "ปัญหาราคาแพง" คือ "โอกาสทางธุรกิจ"
แนวคิด W Shape Thinking ไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎีที่สวยหรูบนแผ่นกระดาษ แต่วิศรุตได้ใช้มันเป็นพิมพ์เขียวในการพิสูจน์แนวคิดหลักของเขาที่ว่า "ปัญหาราคาแพง คือ โอกาสทางธุรกิจ" เขาไม่ได้มองหา "ช่องว่างในตลาด" แต่มองหา "ปัญหาที่ซับซ้อนและมีคนยอมจ่าย" แล้วสร้าง"ทางออกที่สาม" ที่เหนือกว่าทางเลือกเดิมๆ
Waleerat Clinic: เปลี่ยน "ความไม่เชื่อมั่น" ให้เป็น "แม่เหล็กดึงดูดเงินตราต่างชาติ"
วิศรุตเล่าถึงจุดเริ่มต้นของ Waleerat Clinic ที่เขาบริหารร่วมกับภรรยา (พญ.วลีรัตน์ ทวีบรรจงสิน) ว่ามันเกิดจากการมองเห็น "ปัญหาราคาแพง" ที่ซ่อนอยู่ในพฤติกรรมของคนไทยในการใช้บริการคลินิกความงาม
"ปัญหาที่ผมเห็นคือ 'คนไทยยอมจ่ายแพงเพื่อบินไปทำสวยที่เกาหลี แต่กลับไม่เชื่อมั่นในคลินิกบ้านตัวเอง' นี่คือโจทย์ที่ซับซ้อน มันไม่ใช่แค่เรื่องคุณภาพหรือฝีมือหมอ แต่เป็นเรื่องของ 'ความเชื่อมั่น' และ 'การรับรู้' ด้วย ซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ยาก และนั่นแหละคือโอกาส"
ถ้าใช้การคิดแบบเดิม ทางออกอาจจะเป็นการลดราคา หรือทุ่มงบโฆษณา แต่วิศรุตใช้ W Shape Thinking เพื่อหา "ทางเลือกที่สาม"
"เราไม่ได้ถามว่าจะทำยังไงให้คนไทยมาใช้บริการ แต่เราตั้งคำถามใหม่ว่า 'เราจะทำยังไงให้คนต่างชาติต้องบินมาหาเราแทนไปเกาหลี?'"
คำถามนี้เปลี่ยนมุมมองทั้งหมด จากการแข่งขันกันเองในประเทศ ไปสู่การยกระดับตัวเองสู่เวทีสากล พวกเขาทุ่มเทสร้างมาตรฐานคลินิกที่เทียบเท่าต่างประเทศ ทั้งในด้านเทคโนโลยี ความปลอดภัย และการบริการแบบคนไทยที่ถูกใจต่างชาติ ผลลัพธ์คือ Waleerat Clinic ไม่เพียงแต่ได้รับความไว้วางใจจากคนไทย แต่ยังสามารถดึงดูดลูกค้าชาวต่างชาติได้ถึง 70% นี่คือการเปลี่ยนเกมอย่างสิ้นเชิง จากที่เงินทุนไหลออกนอกประเทศ กลายเป็นการดึงเงินตราต่างชาติเข้ามาสร้างงานและรายได้ให้คนไทย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดนอกกรอบที่จะผลักดันอุตสาหกรรมศัลยกรรมไทยสู่เวทีโลก
จากผู้สร้างสู่ผู้ให้: ส่งต่อเครื่องมือสู่คนรุ่นต่อไป
"ตอนนี้ผมอยากทำโครงการอสังหาครับ" เขาเล่าถึงก้าวต่อไป "กำลังดูทำเลใจกลางเมือง ชื่อโครงการคือ 'Valoir' (วาลัวร์) เป็นภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า 'คุณค่า' ผมอยากสร้างบ้านที่มีคุณค่าระดับสากล เป็นบ้านที่ออกแบบมีความคิดแบบ Wellness สร้างสุขภาพที่ดีให้ผู้อยู่อาศัย ดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ดูทิศทางลม ใช้แอร์น้อย ปลูกต้นไม้ฟอกอากาศที่ NASA ยอมรับ" เป็นบ้านยั่งยืนที่ Low Carbon
นอกเหนือจากโครงการที่จับต้องได้ เขายังกำลังสร้างมรดกทางความคิดผ่านหนังสือ "W-Shape Thinking: The Navigator for Wicked Problems"
"ผมอยากเขียนหนังสือเล่มนี้ให้ลูกอ่านตอนโต อยากให้เขารู้ว่าพ่อมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร" เขากล่าว "มันคือคู่มือแก้ปัญหาชีวิตที่ผมเชื่อว่าใครได้อ่านก็จะผ่านปัญหาไปได้ ผมอยากใช้ภาษาที่ง่าย ไม่ซับซ้อน ทุกคนเข้าใจได้ง่าย
ปัจจุบัน วิศรุตเป็น mentor ในหลายโครงการที่เน้นการพัฒนาทักษะทางด้านดิจิตัล แบรนดิ้ง และการศึกษาสำหรับผู้ประกอบการ.