นารีพิฆาต
เสพข่าว "สีกา ก." นารีพิฆาตที่มีความสัมพันธ์กับพระสงฆ์หลายรูป จากหลักฐานภาพและคลิปวิดีโอในโทรศัพท์มือถือ จนทำให้พระชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งต้องลาสิกขาและหลบหนีไปในต่างประเทศ เป็นประเด็นร้อนที่สะเทือนวงการสงฆ์และสังคมไทยหลายสัปดาห์ต่อเนื่อง
แม้พระสงฆ์ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และรักษาศีล 227 ข้อ ซึ่งรวมถึงข้อห้ามเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์ถือเป็นอาบัติปาราชิก โทษร้ายแรงที่สุดที่ทำให้ความเป็นพระภิกษุสิ้นสุดลง แต่กรณีที่เกิดขึ้นนี้ไม่ควรมองแค่ความผิดของพระสงฆ์ที่ละเมิดหลักศาสนา หากแต่ต้องมองไปที่ปัญหาสังคมไทย ที่มีมิจฉาชีพใช้พระเป็นช่องทางในการทำมาหากิน โดยการจัดทำวัตถุพยาน เช่น ภาพ คลิป และเสียงสนทนา เพื่อข่มขู่เอาทรัพย์สินจากพระสงฆ์ โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม
ประเด็นที่สังคมมักไม่พูดถึง หรือพูดถึงน้อยคือ การกระทำผิดกฎหมายของ "สีกา ก." ที่มีการเรียกร้องเงินจำนวนมากจากพระผู้ใหญ่ โดยการสร้างเรื่องว่าตนตั้งครรภ์เพื่อข่มขู่เรียกร้องเงินจำนวน 7.68 ล้านบาท เมื่อพระทราบว่าผู้หญิงไม่ได้ตั้งครรภ์จริง จึงปฏิเสธที่จะจ่ายเงิน ทำให้สีกาตัดสินใจเผยแพร่คลิปวิดีโอและการสนทนา ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวยังเป็นการใช้การบังคับขู่เข็ญเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเข้าข่ายการกระทำผิดตามกฎหมายอาญาในข้อหาข่มขู่และเรียกร้องทรัพย์สินโดยมิชอบ
ในซอกหลืบของสังคมไทย ยังมีบุคคลเช่น "สีกา ก." ที่ทำมาหากินกับพระสงฆ์อีกจำนวนมาก ถึงเวลาหรือยังที่ทุกฝ่ายจะร่วมกันป้องกัน โดยการกำหนดโทษที่รุนแรงสำหรับผู้กระทำพฤติกรรมเช่นนี้ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
แต่ที่สำคัญ เมื่อมีข่าวเช่นนี้ออกมา มักจะมีกระแสว่า “พุทธศาสนานั้นเสื่อม” แม้ศาสนาพุทธจะไม่ได้เสื่อมไปตามกระแส แต่พระสงฆ์ที่เกิดปัญหาดังกล่าวในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้า พวกท่านเป็นเพียง "สมมติสงฆ์" เท่านั้น
ศาสนาพุทธไม่ได้เสื่อมจากข่าวนี้ เพราะพระพุทธเจ้าทรงฝากพระธรรมวินัยไว้ให้เป็นศาสดาแทนพระองค์หลังจากปรินิพพาน และเราในฐานะพุทธบริษัท จะต้องร่วมกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง