โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

1 ตระกูล 3 นายกฯ กับสงครามยาเสพติด นโยบายยืนหนึ่งรัฐบาลเพื่อไทย

THE STANDARD

อัพเดต 17 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
1 ตระกูล 3 นายกฯ กับสงครามยาเสพติด นโยบายยืนหนึ่งรัฐบาลเพื่อไทย

ปัญหายาเสพติด ถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่ปรากฏอยู่ในนโยบายของรัฐบาลมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยผลกระทบที่เกิดทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และประเทศ ทำให้รัฐบาลทุกยุค ต่างพยายามออกมาตรการจัดการอย่างจริงจัง แต่รูปแบบ วิธีคิด และทิศทางการแก้ไข ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด ขึ้นอยู่กับแนวทางของผู้นำรัฐบาลในแต่ละช่วงเวลา และเงื่อนไขทางสังคมการเมืองในขณะนั้น

น่าสนใจว่า ในรอบกว่า 20 ปีที่ผ่านมา การเมืองไทยอยู่ภายใต้การนำของ 3 ผู้นำจากตระกูลชินวัตร ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ และแพทองธาร ที่ต่างลุกขึ้นมารับมือกับปัญหายาเสพติดตามแนวทางของตนเอง

แม้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ท่าที มาตรการ และวิธีคิด กลับสะท้อนภาพการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย ความเชื่อมั่นทางนโยบาย และทัศนคติที่แตกต่างของผู้นำแต่ละคนอย่างชัดเจน

ทักษิณ ชินวัตร

ยุคทักษิณ: ประกาศสงครามยาเสพติด

‘ทักษิณ ชินวัตร’ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย ได้กำหนดให้ปัญหายาเสพติด เป็นนโยบายเร่งด่วน ที่รัฐจะต้องเร่งจัดตั้งสถานบำบัดผู้ติดยาควบคู่กับการปราบปรามและป้องกัน ภายใต้ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดิน โดยหลักการป้องกันนำหน้าการปราบปราม ผู้เสพจะต้องได้รับการรักษา

ส่วนผู้ผลิตและผู้ค้าจะต้องได้รับการลงโทษที่เด็ดขาด และมีการจัดตั้ง ศูนย์ต่อสู้เอาชนะยาเสพติด (ศตส.) เพื่อเป็นองค์กรนำการปฏิบัตินโยบายนี้ โดยมีเป้าหมายขจัดให้ได้ภายใน 3 เดือน เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546

ในระหว่างปี 2536-2544 ยาเสพติดเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทย ผ่านบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในเมียนมา ไทย และลาว จึงทำให้การขนส่งยาเสพติดในขณะนั้นเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า โดยเฮโรอีนขึ้นมาเป็นยาเสพติดยอดนิยมของประเทศ

‘ทักษิณ’ ออกคำสั่งสร้างความเข้มแข็งในชุมชน ต่อการจัดการปัญหายาเสพติด โดยการให้จัดตั้งชุดปฏิบัติการระดับตำบล ตั้งองค์กรในชุมชนเพื่อแก้ปัญหายาเสพติด แต่ผลการดำเนินการในชุมชนกลับขยายผลได้ช้า และไม่สามารถลดการแพร่ระบาดของยาเสพติดได้อย่างรวดเร็ว

ทำให้รัฐบาลต้องปรับเปลี่ยนมาตรการใหม่ ซึ่งกำหนดให้เป็นมาตรการเร่งด่วน โดยประกาศ ‘สงครามยาเสพติด’ ซึ่งกำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 30 เมษายน 2546 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจ เป็นผู้รับผิดชอบ สอดส่องทุกพื้นที่ทุกจังหวัด

รัฐบาลทักษิณมีการกำหนดตัวชี้วัดด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในช่วง 3 เดือนแรก ดังนี้

  • บัญชีรายชื่อผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้จำหน่าย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่มีอยู่ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 ต้องหมดสิ้นไป
  • มีการเตรียมการเพื่อเข้าสู่กระบวนการหมู่บ้านหรือชุมชนเข้มแข็ง ให้ครบทุกหมู่บ้านหรือชุมชน ก่อนวันที่ 30 เมษายน 2546
  • จำนวนผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
  • ความเชื่อมั่นและความพึงพอใจของประชาชนในพื้นที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80

แต่หลังจากการกำหนดตัวชี้วัดนี้ได้เพียง 2 วัน กระทรวงมหาดไทยและสำนักงาน ป.ป.ส. ก็ได้เปลี่ยนแปลงตัวชี้วัดใหม่ ดังนี้

  • จำนวนของเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 ต้องหมดสิ้นไปภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2546
  • จำนวนผู้ผลิต ผู้ค้า ซึ่งมีอยู่ ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 ต้องหมดสิ้นไปภายในวันที่ 30 เมษายน 2546
  • จำนวนผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75
  • ให้ทุกหมู่บ้านหรือชุมชน ต้องดำเนินการครบทั้ง 4 ขั้นตอน ของกระบวนการที่จะทำให้เป็นหมู่บ้านหรือชุมชนเข้มแข็งเอาชนะยาเสพติดภายในวันที่ 30 เมษายน 2546
  • ความเชื่อมั่นและความพึงพอใจของประชาชนในภูมิภาคแต่ละพื้นที่มีความพึงพอใจไม่น้อยกว่าร้อยละ 90

‘ทักษิณ’ ได้มีการกำหนดบทลงโทษ ต่อผู้ที่ดำเนินการไม่ได้ตามเป้าหมายตามตัวชี้วัด คือ การย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บังคับการตำรวจจังหวัด หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับนโยบายนี้ และเร่งปฎิบัติงานให้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด

ในระยะเวลา 3 เดือนของการปฏิบัติงาน ได้มีรายงานการเสียชีวิตที่ไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมเป็นจำนวนอย่างน้อย 2,275 ราย โดยรัฐบาลได้ระบุว่า ผู้เสียชีวิตจำนวนนี้เกิดจากเหตุการณ์ภายในกลุ่มผู้ค้ายากันเอง และมีประมาณ 50 ราย ที่เสียชีวิตจากการป้องกันตัวของตำรวจ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ไม่น้อย ที่ไม่ได้มีหลักฐานว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

รายงานจากองค์กรสิทธิมนุษยชนอย่าง Human Rights Watch ได้เปิดเผยว่า มีเด็กชายวัย 9 ขวบ ถูกยิงเสียชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม ขณะที่ตำรวจเข้าจับกุมตัวพ่อของเด็กชาย ขณะนำยาบ้าจำนวนราว 6,000 เม็ดมาส่ง แต่กระสุนปืนกลับถูกยิงใส่เด็กชายซึ่งนั่งอยู่ในรถโดยที่ไม่รู้เรื่อง

นอกจากนี้ยังมีการสร้างบัญชีแบล็กลิสต์ผู้ต้องสงสัยหลายพันคน แม้ประชาชนจะร้องเรียนว่า เป็นการสร้างบัญชีรายชื่อขึ้นมาอย่างไม่ถูกต้อง และไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่ก็มีรายชื่อถูกขึ้นในแบล็กลิสต์ ทำให้ประชาชนไม่กล้าแสดงความคิดเห็นหรือคัดค้าน

ด้วยความต้องการกำจัดยาเสพติดให้หมดไปภายใน 3 เดือนตามนโยบายของ ‘ทักษิณ’ ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนจนหลายประเทศต่างจับตามองในขณะนั้น รวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และสหประชาชาติ (UN) ด้วยเช่นกัน

ผลของนโยบายนี้ สามารถลดจำนวนผู้ค้าและเสพ และยึดของกลางจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วในระยะแรก แต่แนวทางการแก้ปัญหานี้กลับไม่ได้ยั่งยืน เมื่อเวลาเปลี่ยนผ่านไป ปัญหายาเสพติดก็กลับมาในประเทศไทยอีกครั้ง ผู้เสพหรือผู้ค้าที่รอดจากการจับกุมก็ใช้ระบบใต้ดิน ในการติดต่อซื้อขาย ไม่ได้รับการบำบัดฟื้นฟูอย่างถูกต้อง

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ยุคยิ่งลักษณ์: ปฏิบัติการรวมพลังแผ่นดิน เอาชนะยาเสพติด

หลังจากได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนท่ี 28 และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ในวันที่ 23 สิงหาคม ปี 2554 ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา รวมถึงปัญหายาเสพติดในประเทศ ณ ขณะนั้น

‘ยิ่งลักษณ์’ กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ โดยยึดหลักนิติธรรมในการปราบปรามลงโทษ ผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้มีอิทธิพล และผู้ประพฤติมิชอบ โดยจะบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ยึดหลัก ผู้เสพคือผู้ป่วย ที่ต้องได้รับการบำบัดรักษาให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม

จากการสำรวจพบว่า ประชาชนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมีมากถึงประมาณ 1.38 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากในปี 2550 ถึงสามเท่าในระยะเวลาเพียง 4 ปี นอกจากนี้ยังมี 60,000 หมู่บ้านจากทั้งหมด 80,000 หมู่บ้านทั่วประเทศ ที่ถูกจัดเป็นพื้นที่กลุ่มเสี่ยง และมีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัดถึง 400,000 ราย

จากจำนวนตัวเลขดังกล่าว ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เปิดตัวโครงการ ‘ปฏิบัติการพลังแผ่นดิน เอาชนะยาเสพติด’ ภายใต้เป้าหมายใหญ่ 2 ประการ คือ การลดจำนวนผู้เสพให้ได้ 400,000 คน ภายใน 1 ปี และลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติดลง 80% ทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายสำคัญ 6 ประการ ได้แก่

  • ลดปัญหายาเสพติดใน 60,000 หมู่บ้าน
  • ลดจำนวนผู้เสพยาเสพติดลง 400,000 รายด้วยการผลักดันเข้าสู่ระบบบำบัดฟื้นฟู
  • สร้างมาตรการเฝ้าระวังเพื่อไม่ให้ผู้ผ่านการบำบัดกลับเสพซ้ำโดยหวังผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
  • ลดพื้นที่เสี่ยงและเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงในทุกจังหวัด
  • ลดปริมาณยาเสพติดตามแนวชายแดน
  • ปรับระบบบริหารจัดการให้เกิดการบูรณาการอย่างมีเอกภาพในทุกระดับ

นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์ของโครงการ มี 6 แนวทางสำคัญ ที่สืบทอดมาจากนโยบายของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งได้นำมาปรับใช้ ดังนี้

  • เสริมสร้างพลังชุมชน โดยยึดหลัก เศรษฐกิจพอเพียง ขยายกองทุนแม่ของแผ่นดิน และส่งเสริมเครือข่ายภาคประชาชนให้มีส่วนร่วม
  • มองผู้เสพเป็นผู้ป่วย แบ่งการบำบัดออกเป็น 3 ระดับตามอาการหนักเบา พร้อมเสริมอาชีพหลังบำบัด เพื่อคืนคนดีสู่สังคม
  • ป้องกันกลุ่มเสี่ยง โดยพัฒนาพื้นที่รกร้างในชุมชน ให้เป็นสนามกีฬาหรือกิจกรรมทดแทน
  • ปราบปรามอย่างยุติธรรม เน้นหลักนิติธรรม ในการจัดการกับผู้ค้าและผู้มีอิทธิพลอย่างจริงจัง
  • ร่วมมือกับต่างประเทศ โดยการสกัดเส้นทางลำเลียงการขนส่งยาเสพติดข้ามชาติ โดยเฉพาะตามแนวชายแดน
  • จัดการกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปผูกพันกับยาเสพติด และลงโทษผู้ฝ่าฝืนอย่างเด็ดขาด

ทั้งนี้ เพื่อให้ยุทธศาสตร์ของโครงการสามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจึงได้จัดตั้ง ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.) โดยมี ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ขึ้นเป็นผู้อำนวยการศูนย์ และให้ทุกจังหวัดและอำเภอ ตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับจังหวัดและอำเภอ ร่วมกับ ศพส. โดยอาศัยความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุข ตำรวจ ทหาร และภาคการศึกษาในพื้นที่

ผลสำเร็จของนโยบายตั้งแต่ปี 2554-2557 จากรายงานของสำนักงาน ป.ป.ส. พบว่า มีผู้เสพเข้ารับการบำบัดมากกว่า 420,000 คน ในระยะเวลา 2 ปีแรกของโครงการ และมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดถูกจับกุมกว่า 150,000 ราย โดยเฉพาะพื้นที่แนวชายแดน

ในขณะเดียวกัน ข้อจำกัดของนโยบายนี้ คือ ไม่มีการติดตามวัดผลระยะยาว ของกลุ่มผู้ที่ผ่านการบำบัดว่าเลิกเสพถาวรหรือไม่ และในบางพื้นที่หรือบางชุมชน ยังขาดเจ้าหน้าที่ หรือขาดการสนับสนุนจากผู้นำท้องถิ่น ในการผลักดันโครงการนี้เพื่อลดจำนวนผู้เสพหรือผู้ค้ายาเสพติด ทำให้ผลในระยะสั้นอาจมีประสิทธิผลที่ชัดเจน แต่ก็ยังไม่สามารถวางรากฐานในการแก้ปัญหาระยะยาวได้

แพทองธาร ชินวัตร

ยุคแพทองธาร: ปฏิบัติการ ‘Seal Stop Safe’

กลับมาที่รัฐบาลปัจจุบัน ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย ได้ผลักดันนโยบายปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติเช่นกัน

ในวันที่ 30 มกราคม 2568 ‘แพทองธาร’ ได้เป็นประธานในพิธีเปิด ‘ปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe พร้อมผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน’

เพื่อมอบนโยบายในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน โดยร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ปิดกั้นการนำเข้าและตัดเส้นทางลำเลียงยาเสพติดจากต้นตอการผลิตและจำหน่ายอย่างเด็ดขาด

ขณะที่ ป.ป.ส. ได้ออกประกาศกำหนดพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน 14 จังหวัด 51 อำเภอชายแดน และ 76 สถานีตำรวจ โดยมอบหมายให้แม่ทัพภาคเป็นผู้บัญชาการ

แม้ที่ผ่านมา จะสามารถสกัดกั้นยาเสพติดได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังมียาเสพติดที่หลุดรอดเข้ามาและผ่านไปทางประเทศที่ 3 ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินการของรัฐบาลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ป.ป.ส. จึงได้กำหนดนโยบายสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ดังนี้

  • เพื่อตอกย้ำเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติด
  • เพื่อเร่งรัดการดำเนินการสกัดกั้นยาเสพติด ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลอย่างเด็ดขาด
  • เพื่อกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงาน เร่งดำเนินงานสกัดยาเสพติดชายแดนให้เป็นรูปธรรม รวมถึงให้มีความคืบหน้ามีความดีความชอบ และมีการประเมินประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เสี่ยงอันตราย

นอกจากการดำเนินงานนี้จะเป็นการแก้ไขปัญหายาเสพติด ยังเป็นการป้องกันปัญหาอาชญากรรมตามแนวชายแดน ได้แก่ การค้ามนุษย์ คอลเซ็นเตอร์ การเผาป่าที่ทำให้เกิดปัญหา PM 2.5 ซึ่งเป็นภารกิจปฏิบัติการภายใต้กรอบแนวคิด Seal พื้นที่ชายแดน Stop หยุดวงจรยาเสพติด อาชญากรรมชายแดน และ Safe พื้นที่ปลอดภัย

‘แพทองธาร’ ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงนโยบายนี้ว่า มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้ง 51 อำเภอชายแดน เพื่อเกิดความมั่นคงขึ้น รัฐบาลพร้อมที่จะดูแล สนับสนุนทหารและอาสาสมัครอย่างครอบคลุมทุกมิติ

ที่ผ่านมาได้มีการติดตามการแก้ปัญหายาเสพติดในชุมชนผ่านโครงการ ท่าวังผาโมเดล จังหวัดน่าน และธวัชบุรีโมเดล จังหวัดร้อยเอ็ด โดยพบว่า ผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติด นอกจากได้กลับมาใช้ชีวิตปกติแล้วนั้น ยังมีความภาคภูมิใจที่สามารถหลุดพ้นจากการใช้ยาได้

พร้อมกับย้ำว่า การขับเคลื่อนปฏิบัติการนี้ คือการให้โอกาสผู้ที่เคยติดยาเสพติด ได้กลับมาทำประโยชน์ให้กับสังคมอีกครั้ง โดยจำเป็นต้องบูรณาการร่วมกับทุกหน่วยงาน เพื่อผู้ที่ผ่านการบำบัดสามารถกลับมาสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับครอบครัว

สำหรับการปฏิบัติการนี้ กำหนดระยะเวลา 6 เดือน คือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกรกฎาคม ในปี 2568 และต้องการไม่ให้มีการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาผ่านด่านตรวจ ท่าเทียบเรือบริเวณชายแดน ทั้งที่ถูกกฎหมายและช่องทางธรรมชาติต่างๆ รวมถึงเส้นทางคมนาคม ระบบขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ ก็จะไม่ปล่อยให้มีการแพร่กระจายของยาเสพติดที่รุนแรง

‘แพทองธาร’ ได้กำหนดกลไกขับเคลื่อน 6 มาตรการ คือ มาตรการการสกัดกั้น, มาตรการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน, มาตรการบูรณาการ, มาตรการปราบปราม, มาตรการป้องกัน และมาตรการบำบัดรักษา

ในวันที่ 28 เมษายน 2568 ได้ติดตามผลการปฏิบัติการในระยะ 3 เดือน พบว่า บริเวณชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการปิดล้อมตรวจค้นยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ โดยตัวเลข ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2567 สามารถตรวจยึดยาบ้าได้ 104,955,437 เม็ด ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 332.04 ในขณะเดียวกันก็สามารถจับกุมและตรวจยึดยาไอซ์ได้ 4,084 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นร้อยละ 8,068 จากปีก่อน

นอกจากนี้ผลการดำเนินงานคัดกรองประชากรจำนวน 551,645 คน เป็นประชากรอายุ 12-65 ปี จำนวน 327,432 คน ซึ่งเป็นผู้ที่ผ่านการคัดกรองแล้วจำนวน 275,483 คน โดยในจำนวนประชากรนี้ พบผู้เสพยาเสพติดจำนวน 6,220 คน และไม่พบผู้เสพจำนวน 269,263 คน

พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สามารถจับกุมผู้กระทำผิดตามแนวชายแดนได้อย่างต่อเนื่อง และจากการสอบถามในพื้นที่แนวชายแดนพบว่า ยาเสพติดโดยเฉพาะ ยาบ้า มีราคาสูงขึ้น อยู่ที่เม็ดละ 40-100 บาท และหาซื้อได้ยากมากขึ้น โดย ‘แพทองธาร’ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตอนลงพื้นที่หาเสียงเมื่อสองปีที่แล้ว พบว่าราคายาบ้า มีราคาเม็ดละ 5-20 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ถูกมาก

ทักษิณ

ยึดมหาดไทย เดินหน้าปัญหายาเสพติดอย่างจริง

ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ท่ามกลางแรงกดดันทางการเมืองและความคาดหวังต่อผลงานรัฐบาล พรรคเพื่อไทยได้ปรับเปลี่ยนบทบาทของกระทรวงมหาดไทย โดยเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยเป็น ภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำสำคัญของพรรค เพื่อกำกับนโยบายด้านความมั่นคงและการปกครองท้องถิ่นโดยตรง

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มาพร้อมคำสั่งย้ายอธิบดี 2 หน่วยหลักในกระทรวงฯ เพื่อปรับระบบการทำงานและจัดการกับปัญหายาเสพติดในระดับพื้นที่ หลังพบการแพร่ระบาดที่กระจายเข้าสู่ชุมชนและซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ง่ายขึ้น

แม้ที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ จะมีนโยบายการกำจัดยาเสพติด แต่ก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ คือ บริเวณพื้นที่ชายแดนซึ่งเป็นแหล่งผลิต ลักลอบนำเข้ามาแพร่ระบาดในไทย และส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 ได้

พรรคเพื่อไทยที่มีฐานเสียงใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งหลายพื้นที่เป็นทางผ่านหรือจุดปล่อยยาเสพติด จึงไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลดูนิ่งเฉยต่อปัญหา ซึ่งอาจจะเสียศรัทธาในระยะยาวได้ พรรคเลยเลือกที่จะยึดกระทรวงมหาดไทยคืน แล้ววางระบบใหม่ทั้งหมด

เนื่องจากกระทรวงมหาดไทย ไม่ได้เป็นแค่กระทรวงที่คุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งหมด หรือควบคุมการปกครองท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกหลักในการควบคุมนโยบายแทบทุกเรื่อง รวมถึงความมั่นคงของประเทศ ซึ่งยาเสพติดก็เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศเช่นกัน

ฉะนั้นการเปลี่ยนตำแหน่งในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องตำแหน่งหรืออำนาจ แต่เป็นการส่งสัญญาณว่า พรรคเพื่อไทยจะ ‘เอาจริง’ กับปัญหายาเสพติด ไม่ใช่แค่พูด ไม่ใช่แค่ทำตามหน้าที่ แต่จะลงมือจัดการอย่างเป็นระบบ และจะไม่ปล่อยให้พื้นที่ชายแดน หรือชุมชนเล็กๆ ต้องอยู่กับปัญหานี้อีกต่อไป

เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการจัดการปัญหายาเสพติด ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ‘ภูมิธรรม’ ได้แถลงการณ์เปิดปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด No Drugs No Dealers ผนึกกำลัง ชุมชนปลอดยาเสพติด โดยเชิญให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมประชุม พร้อมกล่าวว่า “หากใครไม่มา หรือไม่ตอบสนองต่อนโยบาย จะสั่งย้ายทันที”

ในปฏิบัติการนี้ ‘ภูมิธรรม’ กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นมากกว่าโครงการ Seal Stop Safe 14 จังหวัด 51 อำเภอ ที่ได้ทำไปก่อนหน้า เพราะเป็นการดำเนินงานทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่การจัดการในพื้นที่ชายแดน เนื่องจากในขณะนี้ ได้พบยาเสพติดที่มีจำนวนมากขึ้นในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง

ในปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด No Drugs No Dealers มีเป้าหมายและตั้งตัวชี้วัดว่า ภายใน 3 เดือนนี้ หมู่บ้านหรือชุมชนที่มีปัญหายาเสพติด จะต้องเริ่มแก้ไขปัญหา วางกลไกของชุมชน และประกาศเป็นหมู่บ้านปลอดยาเสพติด ซึ่งจะไม่มีทั้งผู้ค้าและผู้เสพอีกต่อไป

ทั้งนี้ อาศัยการทำงานร่วมกันของจังหวัดและฝ่ายปกครอง นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดให้ครบถ้วนทุกมิติ ตั้งแต่การป้องกันยาเสพติดไม่ให้เข้าสู่ประเทศ การปราบปราม การแพร่ระบาดในชุมชน ไปจนถึงการฟื้นฟูคนดีกลับสู่สังคม

ในการปฏิบัติการนี้ ‘ภูมิธรรม’ ขอให้ยึดหลัก ผู้เสพคือผู้ป่วย ที่ต้องได้รับการ บำบัดรักษาตามกลุ่มอาการของผู้ป่วย และขอให้ทุกจังหวัดให้ความสำคัญกับการดำเนินงานของศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม เพื่อให้ผู้ที่ผ่านการบำบัด ฟื้นฟูศักยภาพของตนเอง และกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้โดยไม่กลับไปใช้ยาเสพติดซ้ำอีก

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่า ในการลงพื้นที่ตามชุมชนต่างๆ ได้พบกับประชาชนที่มีความเดือดร้อนจากปัญหายาเสพติด แต่สิ่งที่ประชาชนกังวลใจคือ รัฐบาลเอาจริงกับการแก้ปัญหานี้หรือไม่ เพราะถ้าหากเอาจริง ทางประชาชนก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือ

อีกสาเหตุที่ปัญหายาเสพติดยังคงไม่สามารถขจัดออกไปได้นั้น ไม่เพียงแต่การจัดการที่ยังไม่จริงจังมากพอ แต่ยังมีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ปกครอง หรือแม้แต่กำนันผู้ใหญ่บ้านบางส่วน ที่ยังมีส่วนรู้เห็นและเป็นผู้กระทำผิดเสียเองด้วย

ดังนั้นในวันนี้ ทั้งพรรคเพื่อไทย ทั้งกระทรวงมหาดไทย กำลังเอาจริง และจะใช้ยาแรงกับการปราบปรามยาเสพติดในทุกพื้นที่ของประเทศ ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงกำนันผู้ใหญ่บ้าน สนธิกำลังรวมกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ซึ่งตนเชื่อว่ารู้เรื่องในพื้นที่ทั้งหมด ว่าใครเป็นผู้ค้า ใครเป็นผู้เสพ

ในแผนการปฏิบัติงานนี้ จึงขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันในการจัดการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด เพื่อสกัดกั้นยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ตามแผน Seal Stop Safe เพื่อไม่ให้ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดของยาเสพติด หรือเป็นทางผ่านไปยังประเทศที่ 3 ได้อีกครั้ง

ของกลางยาเสพติด

จากอดีตสู่ปัจจุบัน วัฏจักรยาเสพติดที่ยังไม่สิ้นสุด

นโยบายยาเสพติดไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย เพราะตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่ารัฐบาลใดจะขึ้นมาบริหารประเทศ ต่างก็ต้องเผชิญกับปัญหานี้เหมือนกันหมด บางรัฐบาลเลือกใช้วิธีการเด็ดขาดและรุนแรง เช่น การปราบปรามโดยใช้กำลัง การตั้งเป้าลดจำนวนผู้ค้ายาอย่างรวดเร็ว บางรัฐบาลเลือกใช้วิธีเชิงสังคม เช่น การบำบัด การให้โอกาส หรือการพัฒนาเชิงชุมชน

แต่ไม่ว่ารัฐบาลจะเลือกใช้วิธีใด ปัญหายาเสพติดก็ยังคงอยู่ และวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาไม่จบ เพราะรากของปัญหานั้นไม่ได้อยู่แค่ที่ตัวผู้เสพหรือผู้ค้า แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลึกลงไปถึงระดับครัวเรือน ระบบเศรษฐกิจ และความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

ในช่วงเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลล่าสุด ภายใต้การนำของ ‘แพทองธาร’ ที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งรัฐมนตรีบางคนในคณะรัฐมนตรี รวมถึงการโยกย้ายอธิบดีและข้าราชการระดับสูงในกระทรวงมหาดไทย จึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนตัวบุคคลให้สอดคล้องกับกลไกบริหารของรัฐบาลชุดใหม่เท่านั้น แต่ยังอาจตีความได้ว่าเป็นความพยายามของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการกำหนดเป้าหมายของนโยบายยาเสพติด ให้ชัดเจนและเด็ดขาดมากขึ้น

แม้ว่าวิธีการหรือบุคคลที่รับผิดชอบจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่สิ่งที่สะท้อนให้เห็นคือ ความตั้งใจของผู้นำในตระกูลชินวัตร ที่ยังคงมองว่ายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดตัวชี้วัดลงไปยังฝ่ายปฏิบัติ การใช้อำนาจกระทรวงมหาดไทยในการกำกับดูแลหน่วยงานท้องถิ่น หรือการประกาศจุดยืนว่าปี 2568 นี้ จะเป็นปีแห่งการเอาจริงกับปัญหายาเสพติดอีกครั้ง

แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า ใครจะสามารถจัดการกับยาเสพติดได้เด็ดขาดกว่ากัน แต่อยู่ที่ว่า จะสามารถจัดการกับปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืนได้อย่างไร เมื่อปัญหายาเสพติดยังคงเป็นปัญหาที่ฝังรากอยู่ในโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ

อ้างอิง:

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STANDARD

‘O Fenômeno’ ทำไม R9 ถึงเป็นนักเตะที่หาไม่ได้อีกแล้วในยุคนี้

33 นาทีที่แล้ว

‘O Fenômeno’ ทำไม R9 ถึงเป็นนักเตะที่หาไม่ได้อีกแล้วในยุคนี้

33 นาทีที่แล้ว

ชมคลิป: เปิดคัมภีร์จัดพอร์ต สู้ตลาดผันผวน 2025 ด้วยกลยุทธ์ ‘Core-Tactical’

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

Dua Lipa เปิดประมูล Porsche 911 GT3 RS รุ่นพิเศษของเธอในราคา 15 ล้านบาท

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

ปคม.ปฏิบัติการ “ปิดฉากแม่เล้าชาวอุดร”

สำนักข่าวไทย Online
วิดีโอ

กองทัพไทย ออกแถลงการณ์ จี้ด่วน! กัมพูชา นำตัวคนผิดมาลงโทษ แสดงความรับผิดชอบ รุกล้ำแดนไทย

BRIGHTTV.CO.TH

ธ.ออมสิน ออกประกาศเตือนด่วน ล่าสุด ถึงลูกค้าทุกคน

มุมข่าว

ระทึก! ไฟไหม้โรงงานยาง ควันดำปกคลุมเมือง 10 กม. ดับเพลิงยังเอาไม่อยู่

มุมข่าว

จ่อตรวจสอบ “อดีตพระธรรมวชิรธีรคุณ” ปมถูกร้องเอี่ยวทุจริตสร้างศาสนสถาน

สำนักข่าวไทย Online

CEO ลาออกหลังถูกแฉกลางคอนเสิร์ต Coldplay

สำนักข่าวไทย Online

วัดนครสวรรค์ แจงด่วน ‘พระธรรมวชิรธีรคุณ’ สึกจากเรื่องส่วนตัว ยันวัดใช้เงินโปร่งใส

The Bangkok Insight

DSI เตือนอย่าหลงเชื่อสรรพคุณบนโลกออนไลน์

สยามรัฐ

ข่าวและบทความยอดนิยม

ทักษิณแปลกใจแพทย์เจ้าของไข้ร่ำไห้กลางศาล ถามรักษาคนหายทำไมไม่ได้รางวัล ย้ำไม่มีคุยส่วนตัว ‘ฮุน เซน’ หวั่นโดนอัดเทป

THE STANDARD

ทักษิณเททองหล่อหลวงพ่อคูณองค์ใหญ่สุดในโลก ตั้งปณิธานจรรโลงพุทธศาสนา ขอคนไทยอย่าเสื่อมศรัทธา ชี้พระไม่ดีมีแค่ 1-2%

THE STANDARD

ธนาธรบอกทำงานการเมืองไม่หมดหวัง ตั้งเป้าอีก 3 ปี ครบเวลาถูกตัดสิทธิ์ หากประเทศดีขึ้นพร้อมวางมือ

THE STANDARD
ดูเพิ่ม
Loading...