สำรวจหลุมหลบภัยกลาง ‘เอเชียทีค’ ร่องรอยอดีต-เศษซากจากสงครามโลกครั้งที่ 2
ปัจจุบัน เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ โรงละคร กระทั่ง ‘ชิงช้าสวรรค์ยักษ์’ อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ซ่อนหลุมหลบภัยขนาดเล็กๆ ไว้ด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อพื้นที่นี้ยังเป็นโกดังและท่าเรือของบริษัทอีสต์เอเชียติก (East Asiatic Company) เป็นศูนย์กลางในการส่งออกสินค้าและไม้จากไทยไปยังยุโรป ในยุคที่ ‘ไม้สัก’ ไทย ยังอยู่เต็มป่า เป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง นับเนื่องจากรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ในบริเวณนี้ ยังมี ‘โรงเลื่อย’ เป็นศูนย์กลางแปรรูปไม้ขนาดใหญ่ก่อนส่งขึ้นเรือไปยังปลายทางอีกฟากโพ้นทะเล
ทว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยึดพื้นที่ดังกล่าวใช้เป็นฐานทัพ และแปรโกดังให้เป็น ‘คลังแสง’ หลุมหลบภัยคือสิ่งหนึ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ในพื้นที่เอเชียทีค ให้เห็นถึงความตึงเครียดในยุคนั้น
เมื่อรัฐบาลไทยประกาศเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ ญี่ปุ่นวางแผนสร้างทางรถไฟเชื่อมจากไทยไปพม่า แน่นอนว่าพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการทิ้งระเบิดจากฝ่ายสัมพันธมิตรในห้วงเวลาสงครามโลกครั้งที่ 2 ครั้งใดที่เสียงหวอดังขึ้น ผู้คนต่างวิ่งไปหลบยังหลุมหลบภัย จนกว่าเสียงเครื่องบินจะบินห่างออกไป เสียงหวอเบาลง และเสียง ‘ระเบิด’ จบลงแล้ว
จากเดิมกรุงเทพฯ มีหลุมหลบภัยให้เห็นหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณสถานีรถไฟหัวลำโพง บริเวณหน้าโรงเรียนศึกษานารี บริเวณบางลำพู บริเวณวัดบวรนิเวศวิหาร และพื้นที่สวนสัตว์ดุสิต (เขาดินวนา) ทว่าในเวลาต่อมา เมื่อเมืองขยาย ราคาที่ดินสูงขึ้น หลุมหลบภัยเหล่านี้ ซึ่งมีรูปแบบเป็นอาคารคอนกรีต รองรับคนได้จำนวนมากกว่า 50 คน ก็ค่อยๆ หายไป
เหลือเพียงเอเชียทีค อดีตฐานกำลังของญี่ปุ่น อดีตคลังสินค้า และเรื่องเล่าจากหน้าหลุมหลบภัยยังระบุด้วยว่า ครั้งหนึ่งเคยมีเศษพลอยจากเมืองกาญจนบุรีหลงเหลืออยู่ที่หลุมหลบภัยแห่งนี้ และอาจเป็นที่ ‘ซ่อนพลอย’ ของกองทัพญี่ปุ่นด้วย
เรื่องของหลุมหลบภัยถูกพูดถึงอีกครั้ง เมื่อเกิดการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนมากต้องฝึกหัดหลบภัยเป็นครั้งแรกในชีวิต
และในวันหนึ่ง หลุมหลบภัยก็เลือนหายไปตามกาลเวลา และในวันหนึ่ง เมื่อผ่านไป หลุมหลบภัยก็กลายเป็นอดีต เฉกเช่นในกรุงเทพฯ ที่เคยมีหลุมหลบภัยหลายสิบแห่ง จนวันนี้เหลือแห่งนี้เพียงแห่งเดียวที่ทิ้งร่องรอยไว้