รายงานแฉ 'อิหร่าน' มีต้นทุนขุด 'บิทคอยน์' ถูกเบอร์ต้นของโลกเพียง $1,300 ต่อเหรียญ ขณะที่นักขุดใน 'อิตาลี' ต้องใช้ถึง $306,000
ปัจจุบันบิทคอยน์ (Bitcoin) อาจซื้อขายกันที่ราวๆ 108,000 ดอลลาร์ก็จริง ทว่าต้นทุนในการสร้างเหรียญหนึ่งเหรียญนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับว่าขุดได้จากที่ไหน และช่องว่างของต้นทุนในการขุดบิทคอยน์ของประเทศต่างๆ ก็สูงจนน่าตกใจทีเดียว
ชาร์ตข้อมูลใหม่ที่เผยแพร่บน X แสดงให้เห็นว่าอิหร่านสามารถขุดบิทคอยน์ได้ 1 เหรียญด้วยค่าไฟฟ้าเพียง 1,320 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีต้นทุนการผลิต BTC ถูกที่สุดในโลก ด้วยราคาปัจจุบัน และนั่นหมายความว่าหากนำไปขายในตลาดจะมีกำไรถึง 83 เท่า
อย่างไรก็ตาม อิหร่านไม่ได้เป็นเพียงประเทศเดียวที่มีต้นทุนต่ำมากในการขุดบิทคอยน์ เอธิโอเปีย (1,990 ดอลลาร์) ซูดาน (3,970 ดอลลาร์) คิวบา (3,970 ดอลลาร์) และลิเบีย (5,290 ดอลลาร์) ล้วนมีต้นทุนพลังงานที่ถูกมาก ทำให้การขุดเหมืองมีกำไรสูง ประเทศเหล่านี้มักได้ประโยชน์จากค่าไฟฟ้าที่ได้รับการอุดหนุน หรือตลาดพลังงานที่ยังไม่พัฒนา ซึ่งมีราคาพลังงานต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกมาก
ในทางกลับกัน อิตาลีเป็นประเทศที่มีค่าใช้จ่ายในการขุดบิทคอยน์สูงที่สุดในโลก โดยอยู่ที่ 306,550 ดอลลาร์ต่อเหรียญ ซึ่งสูงกว่ามูลค่าตลาดของ BTC ในปัจจุบันเกือบ 3 เท่า
ประเทศอื่นๆ เช่น ออสเตรีย (277,000 ดอลลาร์) บาฮามาส (280,000 ดอลลาร์) และสวิตเซอร์แลนด์ (236,000 ดอลลาร์) ก็อยู่ในกลุ่มที่การขุดบิทคอยน์ไม่ทำกำไรเช่นกัน
ในส่วนของสหรัฐอเมริกา ต้นทุนเฉลี่ยในการขุด บิทคอยน์ 1 เหรียญอยู่ที่ 102,260 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด ทว่าก็ยังคงมีความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากราคาของ BTC ยังคงสูงกว่าต้นทุนการผลิตอยู่มาก
เหตุผลที่นักขุดเหมืองบิทคอยน์ในสหรัฐฯ ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องก็เพราะว่าพวกเขาไม่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าขายปลีกในอัตรา “เฉลี่ย” เหมืองขนาดใหญ่ในรัฐต่างๆ เช่น เทกซัส เคนทักกี และไวโอมิง มักเจรจาข้อตกลงซื้อขายจำนวนมาก ใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติที่ตกค้าง หรือพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น รัฐเทกซัสกลายเป็นแหล่งดึงดูดการทำเหมืองด้วยพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ราคาถูก ประกอบกับข้อตกลงด้านพลังงานที่ยืดหยุ่นซึ่งอนุญาตให้นักขุดปิดเหมืองได้ในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ขณะที่รัฐเคนทักกีมีการลดหย่อนภาษีสำหรับอุปกรณ์ทำเหมือง และมีไฟฟ้าจากถ่านหินจำนวนมาก
ในทางตรงกันข้าม นิวยอร์กและแคลิฟอร์เนียมีกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด ซึ่งทำให้ต้นทุนการขุดบิทคอยน์สูงขึ้น
นักขุดบิทคอยน์นั้นจะแห่กันไปยังสถานที่ที่ค่าไฟฟ้าถูกที่สุดเสมอ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าที่ได้รับการอุดหนุนในอิหร่านหรือฟาร์มกังหันลมในเทกซัส แต่สิ่งนี้ก็ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ด้วย เพราะการที่อิหร่านสามารถขุดบิทคอยน์ได้ในราคาเพียง 1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อเหรียญทำให้พวกเขามีเครื่องมือทางการเงินแม้จะเผชิญมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ก็ตาม ขณะที่นักขุดชาวอเมริกันต้องพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาต้นทุนให้ต่ำ ในขณะเดียวกันยุโรปก็แทบหลุดจากสนามแข่งขัน เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับต้นทุนค่าไฟฟ้าที่สูงจนทำให้การขุดเป็นไปไม่ได้
ในขณะที่ราคาบิทคอยน์ขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเพิ่มขึ้นถึง 85% ในปีนี้ แผนที่ต้นทุนการขุดก็ยิ่งมีความสำคัญในฐานะสิ่งบ่งชี้ว่าคลื่นลูกต่อไปของพลังการขุดอาจอพยพไปที่ใด และการเมือง ตลาดพลังงาน และเศรษฐศาสตร์ของคริปโตจะมาปะทะกันอย่างไร
ที่มา: The Street
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO