ทำไม พรรคประชาชน จึงจะเป็นคนแบบ ‘ฮุนเซน’ และ ‘ชินวัตร’ ?

จุดจบของธุรกิจการเมือง “ชินวัตร” กำลังเริ่มต้นบทสุดท้าย…ไปตามคดี “คลิปเสียง” และ ด้านอำนาจฮุนเซนในกัมพูชาก็กำลังสั่นคลอน …จึงน่าจะเป็นบทเรียนสำหรับ พรรคประชาชน อย่าได้เป็นคนแบบ “ฮุนเซน” และ “ชินวัตร” อีกต่อไป โดย

(1) อาวุธหลักคือ “การโกหกใส่ร้าย”

ฮุนเซน ใช้ “การโกหกใส่ร้ายเป็นอาวุธ” โดยครั้งนี้ มีเป้าหมายจะยื่นร้องต่อศาลโลก เพื่อขอให้วินิจฉัยพื้นที่พิพาท ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย และบริเวณช่องบก ว่าเป็นของกัมพูชา ซึ่งเป็น “การโกหก” เพราะ เป็นพื้นที่อธิปไตยไทย ด้วยหลัก “สันปันน้ำ” ตามสนธิสัญญาฝรั่งเศสสยาม1907

ฝ่ายฮุนเซนยังได้ เริ่มการปะทะชายแดน ยิงจรวดใส่พื้นที่พลเมืองไทย แม้กระทั่งโรงพยาบาลในพื้นที่ ทำให้พลเมืองไทยที่ไม่เกี่ยวกับสงครามสูญเสียจำนวนมาก โดยฮุนเซนไม่กลัวว่าจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้เริ่มการปะทะ เพราะ ออกสื่อโกหกชาวโลกทันที ว่าถูกไทยรังแก กัมพูชาจึงต้องตอบโต้

เมื่อไทยตอบโต้กลับ ใช้แสนยานุภาพทั้ง เครื่องบิน F-16 และ กริฟฟิน มุ่งเป้าหมายทางทหาร ในการสู้รบกันครั้งนี้ มีทหารผู้เสียชีวิตประมาณ 2 พันกว่าคน โดย เป็นทหารไทยประมาณ 15 คน แสดงว่าของกัมพูชาประมาณ 2 พันคน แต่ฮุนเซนก็ไม่สะทกสะท้าน โกหกกับชาวกัมพูชาว่า สูญเสียทหารกัมพูชาเพียง 5 คนเท่านั้น

ทักษิณ ชินวัตร สร้างหลักฐานเท็จ “โกหก” ว่าปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 2540 ว่า ไม่ได้ถือหุ้นชินฯโดยโอนให้ลูกและคนใกล้ชิดแล้ว แต่ได้สร้าง “หนี้ปลอม”3,000 ล้านบาท ใช้คืนปันผลหุ้นชินฯให้พ่อแม่ เป็นหลักฐานว่า “ซุกหุ้น” เป็นความผิดจริง

แพทองธาร ชินวัตร “โกหก” ว่าในคลิปเสียงเป็นเพียง “เทคนิคการเจรจา” ทั้งที่ มีการ “ด้อยค่า” แม่ทัพภาค 2 เช่น “อย่างพวกแม่ทัพภาคสอง เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย” “เพราะตอนนี้ทางนั้นเขาอยากจะดูเท่ เขาก็จะพูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ” ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่ Principled Negotiation ตามที่อ้างแต่อย่างใด

โกหกว่า “ดิฉันไม่ได้ประโยชน์” ทั้งที่พยายามรักษาความสัมพันธ์กับฮุนเซน ช่วยป้องกันการเปิดโปงความผิดของพ่อ

โกหกว่า “ประเทศไม่เสียประโยชน์” แต่ได้แสดงความแตกแยกระหว่างผู้นำรัฐบาล กับ กองทัพ ทำให้ฮุนเซนเห็นความอ่อนแอ จึงฉวยโอกาสเปิดการปะทะ แต่ดีที่ทัพไทยมีความพร้อม ปกป้องอธิปไตยไทยได้อย่างเข้มแข้งทุกพื้นที่

(2) ไม่เคารพอำนาจตุลาการ และ หลักศีลธรรม

ฮุนเซนอาศัยอำนาจจากการ ชนะการเลือกตั้งปี 2023 แบบถล่มทลายพรรคโดย “พรรคประชาชนกัมพูชา” (CPP) ของเขาได้ 120 ที่นั่ง ส่วนพรรคฟุนซินเป็ก ฝ่ายนิยมกษัตริย์ได้ไป 5 ที่นั่ง จากทั้งหมด 125 ที่นั่ง (96%) มีอำนาจสมบูรณ์จากการเลือกตั้ง ไร้สถาบันตุลาการที่เข้มแข็งพอใดๆ อำนาจอธิปไตยของประชาชนด้านตุลาการจึงหายไป ฮุนเซนจึงกล้าเริ่มสงครามได้โดยไม่กลัวกฎหมาย ส่งทหารไปปะทะจนเสียชีวิตนับพันๆ และ หลอกประชาชนว่าเสียชีวิตเพียง 5 คน ก็ไม่กลัวอำนาจตุลาการใดๆ และยังได้ใช้อำนาจกดขี่ บรรดาผู้สื่อข่าวเสรีที่จะสื่อความจริง ทำให้ประชาชนขาดเสรีภาพด้านการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร

รัฐบาลชินวัตร มุ่งมั่นใช้เสียงคะแนนนิยมจากการเลือกตั้งเหนือทุกสิ่ง แม้ทำความผิด “โกงชาติ” จนถูกยึดทรัพย์ ก็พยายามออก พรบ. นิรโทษกรรม ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แบบ “สุดซอย” หวังจะใช้เสียงประชาชนในสภาเหนืออำนาจตุลาการ ความคิดด้อยค่าสถาบันตุลาการเช่นนี้ ทำให้ “กล้าโกง” และ “กล้าปลอมคุก” ตามคดีชั้น 14 อีกด้วย

(3) ทำร้ายชาติเพื่ออำนาจรัฐของตัวเอง

ฝ่ายฮุนเซนมีปัญหาเศรษฐกิจหนัก นานาชาติประณามการเป็น ศูนย์กลางอาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลก จากรายงาน UNOCD แต่เพื่อสร้างคะแนนนิยมให้ลูกฮุนมาเน็ต จึงก่อเหตุขัดแย้งกับไทย หวังชิงพื้นที่ปราสาทต่างๆและช่องบกดังกล่าว สร้างความโกรธเกลียดประเทศไทย ในหมู่ประชาชนกัมพูชา ส่งทหารมารบและตายกว่า 2,000 คน หลอกให้แรงงานชาวกัมพูชาในไทยกลับประเทศ กว่า 3 แสนคน ทำให้ประชาชนเสียรายได้ และ กลับไปแย่งงานคนกัมพูชาในประเทศนับแสนตำแหน่ง ทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ลงอีก เป็นกระบวนการทำร้ายชาวกัมพูชา และ ประเทศชาติ แต่โหมไฟโกรธเพียงเพื่อรักษาอำนาจส่วนตัว

ทักษิณโกงชาติ เผาบ้านเผาเมืองเป็นประกัน ทำประชาชนล้มละลายทั่วไทย รวยอยู่กลุ่มเดียว นำกลุ่มเสื้อแดงทำลายการประชุมอาเซียนสมัยนายกฯอภิสิทธิ์ ต่อมา รัฐบาลยิ่งลักษณ์นำนโยบายจำนวนข้าวทำประเทศเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท ทำร้ายประเทศมากมาย แต่ไม่กลัว เพราะ มั่นใจในอำนาจการโกหก สร้างฐานเสียงให้ได้อำนาจจากการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น

พรรคประชาชนก็มีแนวโน้มไปทางเดียว

(1) อาวุธหลักคือ “การโกหกใส่ร้าย” ในวันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องนายกฯแพทองธารเรื่องคลิปเสียง กลุ่มพรรคส้มชูประเด็น “นิติสงคราม” เป็นการบิดเบือนใส่ร้ายศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้นแทนที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ตรวจสอบนายกฯที่ไปสยบยอมฮุนเซน โดยพ่อนายกฯก็ได้แสดงวิสัยทัศน์ให้มี No Man Land ในพื้นที่ไทยตามหลัก “สันปันน้ำ” และ นำให้แบ่งประโยชน์ทรัพยากรในทะเลกับกัมพูชาแบบ 50% / 50% ตาม MOU44 โดยอิงเส้นแบ่งกัมพูชาที่ไม่เป็นสากล

(2) ไม่เคารพอำนาจตุลาการ และ หลักศีลธรรม ในวันที่ 29 สิงหาคม หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งตัดสินให้นายกฯแพทองธารมีความผิดมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง พรรคประชาชนนำโดย นาย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคแถลงข่าวโดยได้ยืนยันจุดยืนที่มีมาโดยตลอดว่า “ประเด็นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือมาตรฐานทางจริยธรรมนั้น ไม่มีหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย ที่ชัดเจน แน่นอน ตายตัว…เป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการดุลยพินิจตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ จึงมิควรถูกวินิจฉัยชี้ขาดโดยศาลรัฐธรรมนูญ” ทั้งที่คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินมีไม่กี่คดี ก็มีทั้งความชอบธรรมทั้งสิ้นแท้ๆ

ครอบครัวชินวัตร มีประวัติในการดื้อดึงในอำนาจ ปกป้องตนเองจากความผิดกรณีโกงชาติแบบ “สุดซอย” จนทำให้ประชาชนต้องออกมาขับไล่ตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ และ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็เช่นกัน การตัดสินด้วยความเที่ยงธรรมเช่นนี้จึงเป็นประโยชน์ แต่พรรคประชาชนหวังดิสเครดิตฝ่ายตุลาการ ก็เป็นแนวเดียวกับ ฮุนเซน และ ครอบครัวชินวัตรเลย

(3) ทำร้ายชาติเพื่ออำนาจรัฐของตัวเอง จนแม้ประเทศมีปัญหากับกัมพูชา ยังเน้นดิสเครดิตกองทัพ เร็วๆนี้ ผู้ใหญ่อย่าง “ช่อ พรรณิการ์” ก็ยังบอกว่า “บางคนไม่อยากให้สงครามจบ……เพราะช่วงสงครามบางคนดูเป็นฮีโร่ รึเปล่านี่เป็นคำถาม” หรือ ตอนหาเสียง “พิธา” ก็มีวลีเด็ดว่า “ทหารมีไว้ทำไม ?” “ยุคนี้เขาไม่รบกันแล้ว” หรือ “และถ้ารบกันจริง ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะชนะ” ฯลฯ เป็นคำพูดที่ไร้เดียงสา ทำร้ายกำลังใจทหารผู้เสียสละปกป้องชาติอย่างมาก และเมื่อเห็นความจริงเช่นนี้แล้ว ก็น่าจะกล่าวขอโทษ และ ชื่นชมกองทัพไทย ที่สร้างสมแสนยานุภาพอย่างดี ทำให้การปะทะกันจบไวใน 5 วัน มีการสูญเสียน้อยมากเมื่อเทียบกับอริราชศัตรู และ ช่วยปกป้องแผ่นดินไทยให้ลูกหลาน เหมือนที่บรรพชนไทยได้ปกป้องรักษาชาติสืบทอดกันมา

ทั้งหมดนี้…จึงเป็นบทเรียนสำหรับ พรรคประชาชน อย่าได้เป็นคนแบบ “ฮุนเซน” และ “ชินวัตร” อีกต่อไป ด้วย แนวทางอย่างเดียวกันคือ (1) อาวุธหลักคือ “การโกหกใส่ร้าย” (2) ไม่เคารพอำนาจตุลาการ และ หลักศีลธรรม และ (3) ทำร้ายชาติเพื่ออำนาจรัฐของตัวเอง เพื่อบ้านเมืองก็จะสงบร่มเย็น มีอนาคตใหม่ ก้าวไกล เพื่อประชาชนไทยทุกคนอย่างแท้จริงต่อไป

ไทยทน