ส่งออก 'ญี่ปุ่น' ดิ่งหนักสุดรอบ 4 ปี ภาษีทรัมป์ฉุดส่งออกรถยนต์ร่วง

สำนักข่าวนิกเกอิเอเชียรายงานว่า กระทรวงการคลังของญี่ปุ่น รายงานว่า การส่งออกในเดือน ก.ค. ลดลง 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และลดลงมากที่สุดในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่เดือนก.พ. 64 นอกจากนี้การส่งออกไปยังสหรัฐลดลงถึง 10.1% เนื่องจากแรงกดดันของมาตรการภาษีประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์”

นอกจากนี้ การส่งออกไปยังคู่ค้าสำคัญก็มีผลงานต่ำกว่าคาด เช่น การส่งออกไปจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐลดลง 3.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5รวมถึงการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปที่ลดลง 3.4% และอาเซียนที่ลดลง 2.9% แต่การขนส่งไปยังฮ่องกงกลับเพิ่มขึ้น 17.7%

ในขณะเดียวกัน การนำเข้าของญี่ปุ่นก็ลดลง 7.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งส่งผลให้ญี่ปุ่นมี “ดุลการค้าเกินดุล”ประมาณ 796 ล้านดอลลาร์

คาด ‘สงครามการค้า’ กระทบ GDP

ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นต้องเสียภาษีนำ เข้าพื้นฐาน 10% ตามที่ทรัมป์กำหนดในเดือนเม.ย. โดยการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ของญี่ปุ่นต้องเสียภาษีอีก 25% ทำให้การส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ลดลง 27.1% และ 17.4% ตามลำดับ

ล่าสุดในเดือน ก.ค. ญี่ปุ่นและสหรัฐได้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน โดยกำหนดอัตราภาษีศุลกากรแบบ "ต่างตอบแทน" ที่ 15% สำหรับสินค้าและรถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่น ซึ่งต่ำกว่าอัตราที่ทรัมป์เคยขู่ไว้ โดยอัตราภาษีใหม่นี้ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา

ตลอดช่วงไตรมาสที่ผ่านมา เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีการเติบโตที่น่าพอใจ โดยขยายตัวถึง 1.0% ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี ซึ่งสูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ จากการส่งออกที่แข็งแกร่ง แม้จะมีความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐก็ตาม

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนมีความกังวลว่าแนวโน้มนี้อาจไม่ต่อเนื่องในอนาคต

เดฟ เชีย นักเศรษฐศาสตร์จากมูดี้ส์ อนาลิติกส์ คาดการณ์ว่าการส่งออกและการผลิตในภาคอุตสาหกรรมจะ "ชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง" เนื่องจากผลกระทบของมาตรการทางภาษีและข้อขัดแย้งทางการค้าที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งประเมินว่าข้อตกลงทางการค้าที่กำลังจะมาถึงจะส่งผลกระทบต่อ GDP ของญี่ปุ่นอย่างน้อย 0.5%

อ้างอิงNikkei Asia