สรุปเรื่องชุลมุนกรณีพิพาท ‘เขากระโดง’ ตระกูลใหญ่พัวพัน กรมที่ดินเกียร์ว่าง หนังม้วนยาวที่ยังไม่มีจุดจบ
กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องใหญ่ หลังภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งให้อธิบดีกรมที่ดินเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ทั้งหมด 5,083 ไร่ ให้กลับมาเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เจ้าของที่ดินดั้งเดิม
หากที่ดินเป็นที่ดินทั่วไปและผู้ที่อยู่ในพื้นที่เป็นคนท้องถิ่น เรื่องก็คงไม่ซับซ้อน ทว่าที่ดินดังกล่าวกลับเป็นทั้งสนามฟุตบอล ช้าง อารีนา ของสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด และสนามแข่งรถช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต สนามที่ใช้แข่งขันโมโตจีพี รวมถึงเป็นพื้นที่ศูนย์กลางอำนาจของตระกูล ‘ชิดชอบ’ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งจังหวัดบุรีรัมย์มานานหลายทศวรรษ
ในพื้นที่เขากระโดง ตระกูลชิดชอบมีที่ดินกว่า 179 ไร่ และหากรวมบริษัทที่เกี่ยวพัน พวกเขามีพื้นที่รวมแล้วกว่า 288 ไร่ และถ้ายังมั่วไม่พอ พื้นที่แห่งนี้ยังมีชาวบ้านรวมแล้ว 995 ราย และยังมีศูนย์ราชการของจังหวัดบุรีรัมย์ตั้งอยู่ ทั้งศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอเมือง สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด ฯลฯ
แล้วเพราะเหตุใดจึงได้ ‘มั่ว’ ขนาดนี้ รัฐบาลยึดคำสั่งอะไรในการเพิกถอนโฉนด และหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อ
ก่อนอื่นต้องฉายภาพให้เห็นก่อนว่า พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ดั้งเดิมของกรมรถไฟในแผนขยายรถไฟจากนครราชสีมา เส้นทางแรกของประเทศไปยังจังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระราชบัญญัติเวนคืนที่ดินชัดเจน ตั้งแต่ปี 2464 ส่วนหนึ่งทับซ้อนไปกับอดีตภูเขาไฟอย่าง ‘เขากระโดง’ ทว่าในเวลาต่อมา พื้นที่ดังกล่าวกลับมีชาวบ้านรุกล้ำ โดยที่การรถไฟเองก็ไม่ได้สนใจ
เรื่องราวกลับซับซ้อนไปกว่านั้นอีก เมื่อกรมที่ดิน หน่วยงานในการจัดการที่ดินทั่วประเทศ ได้อนุมัติเอกสารสิทธิ์ในรูปแบบต่างๆ ทั้ง ส.ค.1 น.ส.3 ก. กระทั่งโฉนดที่ดินให้กับชาวบ้าน ต่างกรรม ต่างวาระ รวมถึงผู้มีอิทธิพลในเวลานั้นอย่าง ชัย ชิดชอบ พ่อของ เนวิน ชิดชอบ
ในเวลาต่อมาที่ดินของตระกูลชิดชอบเป็นทั้งโรงโม่หิน สนามช้างอารีน่า ส่วนหนึ่งของสนามแข่งรถ และโรงแรม รวมถึงบ้านทั้งของเนวิน ศักดิ์สยาม ชิดชอบ และครอบครัวบริวาร
คำถามก็คือแล้วเรื่องนี้กรมที่ดินจะจัดการอย่างไรต่อเมื่อมีเอกสารสิทธิถูกต้อง…
ถึงตอนนี้มีการตรวจสอบย้อนหลัง ภาพถ่ายทางอากาศในปี 2497 ไม่ปรากฏว่ามีใครทำกิน นั่นแปลว่าการรุกล้ำเกิดขึ้นหลังจากนั้น และก็ใช่ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยจะไม่รับรู้ว่ามีชาวบ้านรุกล้ำที่ดินเข้ามา วันที่ 9 พฤศจิกายน 2513 มีคดีพิพาทระหว่างชัย รวมถึงราษฎรที่บุกรุกที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ชัยเจรจาและยอมรับว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมถึงมีการทำหนังสือขออาศัยการรถไฟแห่งประเทศไทย
และในเวลาต่อมา แม้ที่ดินที่เกิดข้อพิพาทจะ ‘ออกโฉนด’ ได้ แต่การซื้อขายเปลี่ยนมือในภายหลัง แม้แต่การเปลี่ยนมือในครอบครัวชิดชอบ ก็มีเอกสารยืนยันจากสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ก็ยังยืนยันว่า ที่ดินอยู่ในเขตทางรถไฟ
นั่นแปลว่าแม้กรมที่ดินจะมีส่วนผิดในการออกเอกสารสิทธิ์หลายฉบับ โดยไม่ได้ตรวจทานกับการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่ในอีกแง่หนึ่ง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบุรีรัมย์ก็รู้เช่นกันว่า ที่ดินนี้เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย ไม่ใช่ที่ดินของตนเอง
ขณะเดียวกันอาจวิเคราะห์ได้ด้วยว่า พวกเขาคิดว่าการมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ทุกอย่างจะสามารถเคลียร์ได้ และวิธีทำงานการเมืองของพรรคนี้ เครือข่ายนี้ ข้าราชการพร้อมทำงานด้วยหมด
เรื่องทั้งหมดมาถึงจุดตัดอีกครั้งในปี 2560 เมื่อประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ 35 ราย ที่ถือครองเอกสารสิทธิ์แบบ ส.ค.1 ฟ้องการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ไม่ยอมให้ประชาชนออกโฉนด และในเวลาต่อมา ศาลฎีกาตัดสิทธิ์ให้การรถไฟชนะคดี และให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ประชาชนที่ยื่นฟ้อง และในคำพิพากษายังระบุชัดเจนว่า ที่ดินทั้ง 5,083 ไร่ เป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยทั้งหมด อย่างไรก็ตามไม่ได้บังคับให้เพิกถอนโฉนดของผู้ที่ครอบครองที่เหลือ
เรื่องราวผ่านมานานหลายปี กรมที่ดินไม่ได้เพิกถอนโฉนดที่ดินที่เหลือ… และไม่ได้ดำเนินการใดๆ ต่อ แน่นอนว่าถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไป เป็นพื้นที่การเกษตร เรื่องนี้อาจไม่ยากนัก แต่เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของผู้ยิ่งใหญ่บุรีรัมย์ แม้มีคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นบรรทัดฐาน เรื่องทั้งหมดก็ไม่ได้ง่าย
การรถไฟแห่งประเทศไทยยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดินต่อศาลปกครองที่นิ่งเฉยไม่ดำเนินการใดๆ ไม่เพิกถอนโฉนด เพราะทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทยต้องเสียรายได้ ที่ควรจะเป็นค่าเช่าที่ดินถึงปีละกว่า 700 ล้านบาท
จนถึงที่สุด ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ ทั้งการรถไฟแห่งประเทศไทยเดินหน้าสำรวจ รังวัดแนวเขตที่ดิน และมีข่าวลือว่าแนวรังวัดก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคำพิพากษาศาลฎีกา นั่นคือเป็นแนวที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
ดังนั้นคงเหลือหนทางเดียวคือ กรมที่ดินต้องดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินทั้ง 5,083 ไร่ เพียงแต่ว่า ก็ไม่อาจเพิกถอนได้โดยง่าย เพราะกระทรวงมหาดไทยที่กำกับดูแลกรมที่ดินในเวลานั้นอยู่ภายใต้พรรคภูมิใจไทย
กระทั่งในที่สุด กระทรวงมหาดไทยเปลี่ยนมือมาอยู่ภายใต้พรรคเพื่อไทย เรื่องการเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดงจบลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา 1 เดือน โดยระบุว่า เป็นไปตามกฎหมาย อ้างอิงคำพิพากษาศาลฎีกา รวมถึงยังตั้งคณะกรรมการสอบสวนที่กรมที่ดินเกียร์ว่างอยู่หลายปี ไม่ดำเนินการใดๆ ตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง
ตามหลักกฎหมายดูเหมือนจะจบลงง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงเรื่องนี้ยังอีกยาว เมื่อเพิกถอนโฉนดแล้ว แต่ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ไม่ย้ายออก รวมถึงโรงโม่หิน สนามแข่งรถ สนามฟุตบอล ก็ยากที่จะทำอะไรต่อได้ ซ้ำยังมีการแถลงข่าวอีกว่า ทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ดจะยังคงใช้สนามแห่งนี้ต่อไป และการดำเนินการทางกฎหมายหลังจากนี้ หากอยากได้ก็ให้ ‘ฟ้องคดี’ เอา
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดต้องยึดหลักให้แน่นว่า
1.ที่ดินใดที่ได้มาโดยบริสุทธิ์ ไม่ได้มาด้วยอำนาจ-อิทธิพลทางการเมือง เป็นเรื่องที่เกิดจากความสะเพร่าของอำนาจรัฐในอดีต ก็ควรยกประโยชน์ให้ประชาชน ได้เช่าที่ทำกินกับการรถไฟแห่งประเทศไทยต่อไป
2.ที่ดินใดที่รู้อยู่แล้วว่าได้มาด้วยความตั้งใจ ‘รุกที่’ การรถไฟแห่งประเทศไทย ทั้งยังมีการยอมรับ มีหลักฐานว่า รู้ว่าได้มาด้วยการตั้งใจใช้ช่องว่างของระบบ ก็ควรดำเนินคดีให้ประชาชนได้เห็น
แน่นอนว่า เรื่องนี้ยังไม่จบโดยง่ายและคงไม่มีใครย้ายออกจากพื้นที่พิพาท แต่การดำเนินการโดยยึดหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งที่ควรทำต่อไป ไม่ใช่แค่กับพื้นที่เขากระโดง แต่ในทุกพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ