BAM ตั้งโฮดิ้ง พร้อมแตกไลน์ธุรกิจ ขายทรัพย์ 5 แสนล้านบาท
(วันนี้ 18 ส.ค.68) BAM เตรียมตั้งโฮลดิ้งคอมพานี ดันองค์กรเป็น “ยานแม่” เดินหน้ากลยุทธ์ Stronger Together ขยายธุรกิจ NPL-NPA พร้อมเปิดโครงการ “ทรัพย์มหาชน” บ้านมือสองราคาจับต้องได้
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้ง (Holding Company) หรือบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อถือหุ้นในบริษัทย่อย เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต เนื่องจากคาดว่าจะมีบริษัทในเครือเพิ่มขึ้นอีก 2-3 บริษัท การปรับโครงสร้างครั้งนี้จะทำให้ BAM ขยับขึ้นไปสู่การเป็น “ยานแม่” ลักษณะเดียวกับธนาคารไทยพาณิชย์ที่ยกระดับเป็น SCBx เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตระยะยาว
ปัจจุบัน BAM เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การดูแลมากกว่า 500,000 ล้านบาท ล่าสุดได้ร่วมทุนกับธนาคารออมสินจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ บบส.อารีย์ และร่วมทุนกับธนาคารกสิกรไทยจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์อรุณ จำกัด (ARUN AMC) อีกทั้งยังมีแผนแยกบริการบางส่วนออกจากธุรกิจหลัก เช่น ด้านการเงินและการดูแลอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้สอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2568 ถือว่าน่าพอใจ BAM สามารถสร้างผลเรียกเก็บรวม 10,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 7,493 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2 มีผลเรียกเก็บ 6,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่ทำได้ 3,192 ล้านบาท หรือเติบโตมากถึง 118% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% จากช่วงเดียวกันปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 880 ล้านบาท
ในด้านการจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) BAM ยังคงใช้แนวทางช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการให้โอกาสในการได้หลักประกันที่อยู่อาศัยหรือที่ทำกินกลับคืนภายใต้เงื่อนไขที่ผ่อนปรน รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน โดยมีกระบวนการ Recycling Machine ที่มุ่งเร่งสร้างโรงงานแก้หนี้ (TDR Factory) เพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ให้กลับมามีสุขภาพการเงินที่ดีขึ้น ทั้งนี้ BAM สามารถสร้างรายได้จากการปรับโครงสร้างหนี้ NPL ของลูกหนี้รายใหญ่รายหนึ่งได้ถึง 2,800 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน การบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย (NPA) BAM เดินหน้ากลยุทธ์พันธมิตรทางธุรกิจ (NPA Partnership) โดยร่วมมือกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เช่น บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รวมถึงความร่วมมือกับสถาบันการเงิน อาทิ ธนาคารยูโอบี ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารอาคารสงเคราะห์ กลยุทธ์ดังกล่าวมุ่งคัดสรรทรัพย์ NPA ขนาดใหญ่ (Big Lots) ให้พันธมิตรนำไปพัฒนาและเพิ่มมูลค่า ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม หรือที่ดินเปล่า เพื่อต่อยอดให้ “ทรัพย์ร้าง” กลายเป็น “ทรัพย์สร้างกำไร” ลดระยะเวลาการถือครองและสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว โดยล่าสุด BAM สามารถสร้างยอดขายจากการจำหน่ายทรัพย์แปลงใหญ่ได้ถึง 1,450 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่ดินเปล่าจำนวน 50 แปลง รวมพื้นที่ 26-3-37.40 ไร่ ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
สำหรับครึ่งปีหลัง 2568 BAM จะยังคงเดินหน้ากลยุทธ์เชิงรุกทั้งในฝั่ง NPL และ NPA ภายใต้แนวคิด Stronger Together ด้วยการเปลี่ยนโมเดล “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” ไปสู่โมเดลธุรกิจใหม่ “Opportunities for All” ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ NPL สามารถกลับมาเป็นลูกหนี้ Reperforming Loan (RPL) ผ่านโครงการ TDR Factory และ FA Center อีกทั้งยังมีการหารือเบื้องต้นกับบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อพิจารณากำหนดรหัสใหม่ให้กับลูกหนี้ที่มีการผ่อนชำระดีต่อเนื่อง โดย BAM จะทำหน้าที่กลั่นกรองและปรับสภาพหนี้ในฐานะ Buffer ให้กับลูกหนี้ เพื่อลดภาระของสถาบันการเงินและช่วยให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้มากขึ้น ส่วนในด้าน NPA ก็จะยังคงสานต่อความร่วมมือกับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทุกขนาด ทั้งเล็ก กลาง และใหญ่ ในรูปแบบที่ Developers สามารถนำทรัพย์ไป flipping และขายต่อให้กับกลุ่มลูกค้าของตนเอง
ในส่วนของทิศทางตลาดบ้านมือสอง BAM ประเมินว่ามีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เห็นได้จากยอดขายบ้านมือสองในไตรมาสแรกของปีนี้ที่มีสัดส่วนสูงถึง 53% ของยอดขายบ้านทั้งหมด เมื่อเทียบกับบ้านใหม่ จากสัญญาณที่สถาบันการเงินเริ่มปล่อยสินเชื่อบ้านมือสองมากขึ้น BAM จึงเตรียมเปิดตัวโครงการ “ทรัพย์มหาชน” เพื่อนำเสนอที่อยู่อาศัยทำเลดี ราคาย่อมเยา ต่ำกว่าตลาดราว 15-20% โดยลูกค้าสามารถเลือกผ่อนชำระกับ BAM โดยตรง หรือขอสินเชื่อกับธนาคารพันธมิตรที่มีเงื่อนไขพิเศษ กลยุทธ์นี้นอกจากจะช่วยให้ BAM ยืนหยัดท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ยังเป็นการเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมผลักดันไปสู่เป้าหมายผลเรียกเก็บรวม 17,800 ล้านบาทภายในสิ้นปี
ปัจจุบัน BAM มีหนี้ NPL อยู่ในความดูแลทั้งสิ้น 91,009 ราย คิดเป็นมูลหนี้เงินต้น 487,117 ล้านบาท และมี NPA จำนวน 28,043 รายการ คิดเป็นราคาประเมินรวม 77,812 ล้านบาท