เอกชนห่วง! ไทยเสียเปรียบเวียดนาม ปิดดีลภาษีสหรัฐไม่ได้ ส่งออกลำบาก
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)กล่าวในการสัมมนา"เชื่อมั่นประเทศไทย โจทย์ใหม่ ในยุคเปลี่ยนแปลง "ที่จัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ว่า ผลการเจรจาระหว่างสหรัฐและเวียดนาม จากเดิมที่เก็บไว้ 46% แต่ลดลงเหลือ 20% หากเป็นการสวมสิทธิ์จากประเทศที่ 3 จะเก็บที่ 40% แต่เวียดนามยอมให้สินค้าสหรัฐส่งเข้าเวียดนามที่ 0% ทุกรายการ ซึ่งถือว่าน่าตกใจและหนักใจ เพราะเวียดนามที่อยู่ในโซนเดียวกัน เป็นเพื่อนบ้านและเป็นคู่แข่งสินค้าส่งออกของไทย
ทั้งนี้หากประเมินอัตราภาษีเบื้องต้นของเวียดนามอยู่ที่ 46% ไทยได้ที่ 36% โครงสร้างการส่งออกสินค้าคล้ายกับประเทศไทย ทำให้ต้องเทียบกับเวียดนาม หากอัตราภาษีที่ไทยได้รับสูงกว่าเวียดนามจะส่งผลกระทบกับสินค้าส่งออกของไทยค่อนข้างมาก และหากอัตราต่ำกว่าจะมีผลในด้านบวกกับเรามากเช่นกัน
โดยปัจจุบันหากเป็นระดับดังกล่าว ที่ไทยถูกกำหนดเบื้องต้น 36% คำนวณจากสูตรที่คิดกับเวียดนามจาก 46% เหลือ 20% ประเทศไทยน่าจะถูกลดภาษีลงเหลือไม่เกิน 15% ส่วนสินค้าสวมสิทธิ์จากประเทศที่ 3 ควรลดลงเหลือ 30% แต่การเปิดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐของเวียดนามที่ให้ภาษีเหลือเป็น 0% เลย ซึ่งตรงนี้ไทยคงไม่สามารถทำตามได้ และเชื่อว่าเมื่อมีแนวทางแบบนี้เกิดขึ้น สหรัฐคงใช้รูปแบบนี้มาต่อรองกับไทยมากขึ้น
ขณะเดียวกัน หากเราไม่รับข้อตกลงก็อาจกระทบให้อัตราภาษีของไทยไม่ถูกปรับลดลง อาทิ ถูกกำหนดไว้ที่ 36% เทียบกับเวียดนามที่ถูกลดเหลือ 20% สินค้าไทยแพงกว่า 16% อันนี้เรามีปัญหาแน่นอน ความสามารถการแข่งขันในการส่งออกถูกกระทบ และสินค้าได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงแน่นอน
“หากเวียดนามลดเหลือ 20% แต่ไทยยังอยู่ที่ 36% เท่ากับว่าเรากำลังเสียเปรียบในตลาดสหรัฐโดยตรง เพราะเรากับเวียดนามส่งออกสินค้าโครงสร้างใกล้เคียงกันมาก และหากการเจรจาของไทยไม่ สามารถบรรลุข้อตกลงได้นั้น รัฐบาลจะเตรียมมาตรการฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก เช่น การหาตลาดใหม่ การสนับสนุนด้านการเงิน และการพิจารณาเงื่อนไขการเปิดตลาดอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งเน้นว่าภาคเอกชนกำลังรอความชัดเจนจากรัฐบาล ” นายเกรียงไกรกล่าว
นายเกรียงไกร กล่าวว่า เรื่องความเชื่อมั่นและสถานการณ์ของรัฐบาล ในปัจจุบันต้องยอมรับว่า ปัจจัยภายในโดยเฉพาะเสถียรภาพของรัฐบาล เป็นสิ่งที่รัฐต้องเร่งจัดการ ซึ่งภาคเอกชนก็รอดูความชัดเจนที่ควรเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เสียโอกาสจากการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศไทยจึงต้องอาศัยการเมืองที่เข้มแข็ง มีเอกภาพ และสร้างความเชื่อมั่น
ทั้งนี้จากสถานการณ์ในปัจจุบัน มีปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างนโยบายของสหรัฐ แต่เสถียรภาพภายในเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ และต้องรีบทำให้ชัดเจน
นอกจากนี้โจทย์ที่น่าห่วงคือ สินค้าราคาถูกที่ทะลักเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเยอะมากแล้ว ยังถูกบุกเข้ามาถึงในบ้านตั้งแต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะยังแก้ไขไม่ได้แล้ว ยังสร้างผลกระทบที่หนักขึ้นเรื่อยๆ จึงอยากส่งเสียงถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง รีบหามาตรการแก้ไขเรื่องนี้โดยด่วนที่สุด