ปฏิรูปอนาคตอาหารไทย จาก ‘เกษตรฟ้าฝน’ สู่ ‘เกษตรแม่นยำ’ ด้วย AI และ Big Data [ADVERTORIAL]
ภาคการเกษตรคือกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทยมาช้านาน แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ตั้งแต่ความผันผวนของสภาพอากาศ และปัญหาขาดแคลนแรงงาน ถึงเวลาแล้วที่ต้องปฏิรูปแนวทางจากการทำ ‘เกษตรฟ้าฝน’ ที่พึ่งพาโชคชะตาและประสบการณ์เก่า ไปสู่ ‘เกษตรแม่นยำ’ (Precision Agriculture) ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Big Data
Bangkok AI Week 2025จึงได้จัดเวทีเสวนา ‘Precision Farming: AI for the Future of Food’พร้อมรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากแวดวงนวัตกรรมเพื่อการเกษตร ได้แก่ ผศ. ดร.วิษุวัต สงนวล อาจารย์ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท แอดวานซ์ กรีนฟาร์ม จำกัด, อุกฤษ อุณหเลขกะ ประธานคณะกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท รีคัลท์ (ประเทศไทย) จำกัด, สันติ อาภากาศ CEO & Co-founder of TASTEBUD LAB, BIO BUDDY & Future Food Network โดยชี้ให้เห็นถึงความท้าทาย โอกาส และแนวทางที่จะนำพาภาคเกษตรกรรมของไทยไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง
สันติ อาภากาศ
CEO & Co-founder of TASTEBUD LAB,
BIO BUDDY & Future Food Network
วันที่โลกเดินหน้า แต่เกษตรกรยังไม่รู้ว่าจะปลูกอะไร
แม้ประเทศไทยจะมีองค์ความรู้ด้านการเกษตรที่สืบทอดกันมา แต่ก็ไม่เพียงพออีกต่อไปเมื่อปัจจัยแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งความต้องการของตลาดที่เปลี่ยน ที่ดินและสภาพอากาศที่ไม่เหมือนเดิม รวมถึงการเกิดขึ้นของพืชเศรษฐกิจใหม่ๆ ทำให้การทำเกษตรโดยอาศัยเพียงประสบการณ์เก่ากลายเป็นความเสี่ยง และนำไปสู่วงจรของการขาดทุนที่ไม่สิ้นสุด
หนึ่งในปัญหาสำคัญที่สะท้อนภาพความเปราะบางของเกษตรกรไทยคือคำถามที่ว่า “จะปลูกอะไรดี” ซึ่งเห็นได้จากปรากฏการณ์ที่เกษตรกรจำนวนมากมักตัดสินใจลงทุนเพาะปลูกตามกระแส ไม่ว่าจะเป็นผำ, กล้วยด่าง หรืออินทผลัม โดยขาดข้อมูลที่รอบด้านเพียงพอ หลายคนถึงกับนำเงินเก็บทั้งชีวิตหรือกู้หนี้ยืมสินมาลงทุนด้วยความหวัง แต่สุดท้ายต้องเผชิญกับความเสี่ยงมหาศาล
ฟ้าดินแปรปรวน และปัญหาคนยุคใหม่ไม่สืบทอดงานเกษตร
นอกจากการตัดสินใจเลือกพืชเพาะปลูกแล้ว เกษตรกรยังต้องเผชิญกับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะการพึ่งพาดินฟ้าอากาศที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรง เพราะระบบชลประทานของไทยยังครอบคลุมพื้นที่ได้น้อย การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกทำให้การคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนเป็นไปได้ยาก
นอกจากนั้น อายุเฉลี่ยของเกษตรกรไทยในปัจจุบันสูงถึง 58 ปี และคนรุ่นใหม่ไม่สนใจที่จะสืบทอดอาชีพนี้ ในขณะที่ต้นทุนที่แพงที่สุดของการทำเกษตรกว่า 50% คือ ‘ค่าแรงงาน’ ทำให้ภาพรวมของภาคเกษตรไทยกลายเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงแต่ให้ผลตอบแทนต่ำ
อุกฤษ อุณหเลขกะ
ประธานคณะกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท รีคัลท์ (ประเทศไทย) จำกัด
พลิกเกษตรพึ่งฟ้าฝน สู่ ‘เกษตรแม่นยำ’ ด้วย AI
ท่ามกลางความท้าทายมากมาย AI ได้เข้ามาเป็นคำตอบสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น
- การพยากรณ์อากาศ: ปัจจุบันมีการนำ AI มาใช้พยากรณ์อากาศซึ่งให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้เกษตรกรสามารถวางแผนการเพาะปลูก, การให้น้ำ, หรือการใส่ปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การพัฒนาสายพันธุ์พืช: AI สามารถเร่งกระบวนการพัฒนาสายพันธุ์พืชใหม่ๆ ที่ทนแล้ง ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง หรือมีรสชาติดีกว่าเดิมได้ เช่นเดียวกับที่ AI ถูกใช้ในการเร่งผลิตวัคซีนช่วงโควิด-19
- การเข้าถึงที่ง่าย: เทคโนโลยี Generative AI อย่าง ChatGPT ทำให้เกษตรกรสามารถถามคำถามที่ต้องการคำตอบได้โดยตรง เช่น “บ่ายนี้ฝนจะตกหรือไม่” หรือ “ควรใส่ปุ๋ยหรือยัง” เหมือนมีผู้ช่วยอัจฉริยะอยู่ข้างกาย
ยิ่งไปกว่านั้น เกษตรกรรมไทยในอนาคตอาจเข้าสู่ยุคระบบอัตโนมัติ (Automation) โดย AI จะสั่งการให้อุปกรณ์ IoT เช่น สปริงเกอร์รดน้ำ หรือโดรนพ่นยาทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งจะเข้ามาแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้อย่างตรงจุด
ผศ. ดร.วิษุวัต สงนวล
อาจารย์ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท แอดวานซ์ กรีนฟาร์ม จำกัด
ปฏิวัติระบบอาหารด้วยข้อมูล
AI ไม่ได้เปลี่ยนแค่โลกทัศน์เกษตรกรรม แต่สามารถปฏิวัติ ‘ระบบอาหาร’ ทั้งหมดได้ ผ่านแนวคิด ‘เกษตรกรรมฟื้นฟู’ (Regenerative Agriculture) ซึ่งเป็นการทำเกษตรที่ไม่ได้มุ่งแค่การผลิต แต่ยังช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของผู้คนไปพร้อมกัน
หัวใจสำคัญของการปฏิวัติครั้งนี้คือ หากเราสามารถเก็บข้อมูลการเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้ AI จะสามารถสร้างประโยชน์ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน ตั้งแต่เกษตรกร, ผู้แปรรูป, ผู้ขาย, ไปจนถึงผู้บริโภค โดยในอนาคต เราอาจสามารถปรึกษา AI ได้ว่า “วันนี้ควรกินอะไรเพื่อให้สุขภาพดีที่สุด” โดย AI จะวิเคราะห์และแนะนำอาหารที่เหมาะสมกับ DNA ของแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ
ทว่าความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในวันนี้คือ ‘การขาดแคลนข้อมูล’ แม้เกษตรกรรมจะเป็นมรดกทางวัฒนธรรม แต่กลับไม่มีข้อมูลที่เก็บไว้เป็นระบบทำให้เป็นไปได้ว่าอีก 2 ปีข้างหน้า ในวันที่ต้นทุนการเทรน AI ถูกลงมากแล้ว เราก็จะไม่มีข้อมูลที่ดีพอสำหรับนำไปฝึกฝน AI ทำให้เสียโอกาสมหาศาล
การนำ AI มาใช้ในภาคเกษตรกรรมคือทางรอดที่จำเป็นต่ออนาคตของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่หัวใจสำคัญที่แท้จริงคือการสร้าง ‘ระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง’
การจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ, เอกชน, และภาคประชาสังคม รวมถึงต้องมีเจ้าภาพที่ชัดเจน เช่น การจัดตั้งกองทุนเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายสุดท้ายไม่ใช่แค่การแข่งขันด้านปริมาณ แต่คือการยกระดับภาคเกษตรไทยให้เป็นเกษตรคุณภาพสูงที่ทั่วโลกต้องการ
ติดตาม Bangkok AI Week 2025 และแนวทางพลิกอนาคตธุรกิจไทยได้ที่ Facebook: ETDA Thailand