เม็กซิโกโวยทรัมป์รีดภาษี 30% แต่ยังเชื่อมั่นจะเจรจาหาทางออกได้
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเม็กซิโกซิตี ประเทศเม็กซิโก เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ว่าประธานาธิบดีคลอเดีย ไชน์บาว์ม ผู้นำเม็กซิโก กล่าวด้วยความเชื่อมั่น ว่ารัฐบาลเม็กซิโกจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐได้ในที่สุด และเม็กซิโก "จะอยู่ในสถานะที่ดีกว่านี้" ในวันที่ 1 ส.ค.นี้
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ส่งหนังสืออย่างเป็นทางการถึงไชน์บาว์ม มีเนื้อหาสำคัญว่า สหรัฐยังคงต้องการมีความร่วมมือทางการค้ากับเม็กซิโกต่อไป ทว่านับตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้เป็นต้นไป สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีกับสินค้าของเม็กซิโก ในอัตรา 30% ทุกประเภทของเม็กซิโก ที่ส่งออกมายังสหรัฐ แยกต่างหากจากอัตราภาษีซึ่งกำหนดไปก่อนแล้ว และสินค้าจากประเทศที่สามซึ่งใช้เม็กซิโกเป็นทางผ่าน จะเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงกว่านี้
หากเม็กซิโกมีมาตรการตอบโต้อีก ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐจะขึ้นภาษีกับสินค้าของเม็กซิโกอีก 30% และอ้างว่า เม็กซิโกเรียกเก็บภาษีกับสหรัฐ และมาตรการที่มิใช่ภาษี ซึ่งทำให้สหรัฐขาดดุลการค้าอย่างมากกับเม็กซิโก จึงถือเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ อีกทั้งมาตรการปราบปรามเฟนทานิลและอาชญากรรมที่ดำเนินการร่วมกัน "ยังไม่ได้ผลเพียงพอ"
ทรัมป์กล่าวว่า ก่อนหน้านั้นสหรัฐกำหนดอัตราภาษีกับเม็กซิโกไปแล้วบางส่วน เนื่องจากเม็กซิโกล้มเหลวในการยับยั้งขบวนการค้ายาเสพติด ในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดข้ามพรมแดน โดยเฉพาะเฟนทานิล ขณะเดียวกัน ความร่วมมือของเม็กซิโกในการรักษาความปลอดภัยตามแนวชายแดนระหว่างสองประเทศยังไม่เพียงพอ ซึ่งสหรัฐไม่สามารถปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินเช่นนี้ต่อไปได้
ขณะที่กระทรวงเศรษฐกิจและกระทรวงการต่างประเทศเม็กซิโกออกแถลงการณ์ร่วมกัน ว่าจดหมายของทรัมป์ "เป็นข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมและเม็กซิโกไม่มีทางเห็นด้วย" ตอนนี้ เม็กซิโกกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อหาทางเลือกอื่นแทนการเก็บภาษี เพื่อปกป้องภาคธุรกิจและตำแหน่งงานทั้งสองประเทศ โดยหวังว่าจะหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีดังกล่าวได้.
เครดิตภาพ : AFP