‘ไทด์ เอกพันธ์’ อัปเดตปมชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ สงครามไม่ส่งผลดี มีแต่ทำให้แย่!
ท่ามกลางสถานการณ์ปะทะเดือดระหว่างไทย และ กัมพูชา ทางด้าน “ไทด์-เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์” นักแสดงใจบุญ อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบที่บริเวณชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยล่าสุด ไทด์ ได้มาร่วมงาน "กรุงทองพลัสไซซ์ ไทยแลนด์ ดีไซเนอร์ อวอร์ด 2025" ก็ออกมาเปิดเผยถึงการช่วยเหลือและสถานการณ์ล่าสุดในพื้นที่ ที่มูลนิธิร่วมกตัญญูเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมตอบดราม่าทุกประเด็น
ไทด์ เอกพันธ์ เผยว่า “ต้องขอกราบขอบพระคุณบริษัท กรุงทอง พลาซ่า ที่ได้มอบเงินบริจาค 100,000 บาท เป็นสาธารณประโยชน์ให้มูลนิธิร่วมกตัญญูไปทำอะไรก็ได้ ตอนนี้เรากำลังเดือดร้อนตรงชายแดน ตอนนี้มูลนิธิได้ส่งครัวไปสองครัวเพื่อทำอาหารให้ผู้อพยพแล้วก็ทหาร ก็จะนำเงินตรงนี้ไปซื้อวัตถุดิบต่างๆ ซึ่งตอนนี้ตรงชายแดนในวันนี้ไม่มีการยิงแล้ว แต่ยังไงกองกำลังของเราก็ยังอยู่ที่เดิม กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราต้องส่งข้าวทุกวัน แล้วก็ต้องมีรถของมูลนิธิ รถพยาบาล ส่งไปประจำที่อีสานใต้ที่มีข้อพิพาทกันอยู่ตอนนี้ ประมาณสี่คัน วันนี้ลำเลียงทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือไม่สาหัส ที่ต้องย้ายโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่างๆ ออกมาที่โรงพยาบาลจังหวัดนครราชสีมา ย้ายมา 15 ราย หลังจากที่ฝั่งโน้นเขาได้นำชุดทหารที่อื่นเข้ามาดูพื้นที่ประเทศของเขา เสียงปืนตอนนี้ไม่มีแล้ว แต่เราก็ประมาทไม่ได้เพราะว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะเราครอบครองปราสาทที่เขาจะเอา ตอนนี้ได้ไปปราสาทเดียวคือประสาทแดก (หัวเราะ)
ถามว่าสถานการณ์ตอนนี้ลงพื้นที่ไปมีความกังวลอะไรอีกนอกจากความปลอดภัย ตอนนี้ชาวบ้านเขาเริ่มเป็นห่วงบ้าน เริ่มเป็นห่วงสัตว์เลี้ยง เพราะว่าเป็นหนึ่งสัปดาห์ที่เขาอพยพมา ถ้าเกิดตอนนี้ไม่มีการยิงกัน สภาวะสงครามเริ่มกลับเข้าที่เข้าทาง เขาอยากจะกลับบ้านของพวกเขา แต่ตอนนี้ทางราชการยังไม่ให้กลับ ขอรอดูอีกสักพักหนึ่ง ส่วนสภาพจิตใจเขา คือ มีชาวบ้านคนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการผูกคอตาย คือมันก็พูดยาก เขาอาจจะมีเรื่องราวย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เราก็ไม่ทราบ น่าสงสาร ไปดูผู้อพยพแล้วได้เห็นเรา เขาก็มีรอยยิ้มขึ้นมา แต่ดูแล้วไม่มีความสุขที่ได้อยู่ตรงนี้ แต่เขาปลอดภัยจริง มีอาหารรับประทานจริง แต่จิตใจเขาไม่เหมือนอยู่ที่บ้านเขา สงครามไม่ได้ส่งผลดีมีแต่ทำให้แย่ลง ก็แค่ใครชนะใครแพ้ แล้วต้องสูญเสียเท่าไหร่ นี่คือสงคราม การสูญเสียทั้งสองฝ่ายเท่านั้นเอง ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น
ส่วนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นของโรงพยาบาล ที่บอกห้ามไปช่วยฝั่งกัมพูชา คือมันเกิดขึ้นวันนี้เลยที่ต้องเอาผู้ใหญ่ฝั่งเขามารักษาในโรงพยาบาลที่ประเทศเรา มันก็มีความคิดทั้งสองฝ่าย บางคนก็มองเรื่องมนุษยธรรมว่าทำไมไม่รับเขามา แต่คนได้รับบาดเจ็บมันต้องได้รับการดูแลรักษา เมื่อก่อนประเทศไทยให้เขาเข้ามารับการรักษาแล้วคนของเขาก็รักษาฟรีด้วย แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าจะตัดสิทธิ์ตรงนั้นไปแล้วไม่ให้เขาเข้ามารับการรักษา แต่ก็มีดราม่าเข้ามามากมาย ว่าทำไมไม่มีมนุษยธรรม อันนี้ความคิดเห็นของผมเองนะ ถ้าเข้ามาถึงจุดนี้เขาเป็นคนเริ่มก่อน เขาเป็นคนที่ผลักประเทศไทยออกจากเขา เขาไปประณามประเทศไทยให้กับประเทศอื่นว่าประเทศเราแย่ ก็เลยขอตัดขาดไปเลย ไม่ต้องมายุ่งกับประเทศเรา ประเทศเราไม่ไปยุ่งกับประเทศเขาอยู่แล้ว ตรงนี้มันแล้วแต่มุมมองของคนที่จะคิด อย่างทหารเขาเจ็บเป็นร้อยเราก็นำมารักษา แล้วพอเขาหายเขาก็จับปืนมายิงเราเหรอ เวลาเขายิงเขาไม่ได้นึกถึงเด็ก คนแก่ คนที่นอนอยู่โรงพยาบาล ต้องขนย้ายผู้ป่วยมันอันตรายมาก แต่พอถึงบริบทนี้หาว่าเมืองไทยใจร้ายใจดำ ไม่มีมนุษยธรรม“
ไทด์ เล่าต่อว่า ”ถามว่าลำบากใจไหม ไม่ลำบากใจนะ เรารอคำสั่งของกระทรวงสาธารณสุขที่มีส่วนเกี่ยวข้องว่าจะรับหรือไม่รับ จะมีแพทย์มาดูแลทหารของเขาหรือเปล่า เราเป็นกู้ภัยไม่มีสิทธิ์ที่จะรับหรือไม่รับ เรารอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ก็ฝากถึงพี่น้องชาวไทยที่คอยให้กำลังใจคอยให้ความช่วยเหลือ พอมีอะไรเกิดขึ้นกับประเทศไทยไม่ว่าจะภัยพิบัติต่างๆ เราไม่เคยทำสงครามมาเลยนะ น่าจะ 40 ปีแล้วมั้งที่เราไม่เคยมีสงคราม ก็มาถึงปีนี้ เห็นไหมว่าคนไทยเรารักกันจริงๆ เราสามัคคีกัน ใครมีเรื่องเดือดร้อนก็แล้วแต่ เราจะรวมตัวรวมใจกันเพื่อส่งกำลังใจที่มีภัยขึ้นมา ที่กระทบกับชีวิตของคนไทย ไม่ว่าคุณจะโกรธกันอะไรก็แล้วแต่ คนไทยพอถึงเวลาแบบนี้ปุ๊บเราสามัคคีกัน ชื่นใจมาก ทั่วประเทศหลั่งไหลมาที่ชายแดนอีสานใต้ ไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้ วัตถุดิบ เนื้อต่างๆที่ไว้ปรุงอาหาร แล้วก็มีบางคนเอาเงินของเขา 3-4 แสนบาท เอามาเหมาปั๊มน้ำมัน วันนี้อาสามูลนิธิเติมฟรีหมด ใครขับรถโรงพยาบาลมาเติมปั๊มนี้ฟรีหมดทุกคัน นี่คือคนไทย คนไทยมีน้ำใจมาก และมีน้ำใจกับเพื่อนบ้านมากเกินไป จนเขาเหลิง
สำหรับเรื่องที่คนดังบางคนออกมา call out แต่บางคนเงียบ คือมันต้องอาศัยเซเลบริตี อาศัยเสียงที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ออกมาสื่อสารให้กับประชาชนบนโลกใบนี้ได้รับทราบว่าเราเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าเขาเยอะ เราไม่จำเป็นต้องหาเรื่องเขา ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งอะไรกับเขาเลย แต่สิ่งที่เราได้รับเหมือนกับว่าถูกบิดเบือนความจริง พวกเราซึ่งมีชื่อเสียงเป็นดาราต้องออกมาพูด ออกมาเคลื่อนไหว ประเทศเขาก็ออกมาเหมือนกัน เขาก็เอาคนมีชื่อเสียง ที่พูดภาษาอังกฤษได้ มาใส่ความเรา อันนี้เป็นสงครามสื่อสาร ให้ประชาคมโลกนี้รู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้น แต่คนกลางเขาน่าจะมีวิจารณญาณว่าประเทศไหนที่โกหก ประเทศไหนที่มีมูลความจริง ต้องใช้วิจารณญาณ“