ปตท.หนุนใช้ก๊าซฯคู่ลดปล่อยคาร์บอน สู้กีดกันทางการค้า-ภาษี
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยในงานสัมมนา iBusiness Forum Decode 2025: The Mid-Year Signal ถอดสัญญาณเศรษฐกิจโลก พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย ว่า ทิศทางพลังงานโลก ขณะนี้มีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งระยะสั้นและระยะยาวส่งผลกระทบต่อราคาและความมั่นคงด้านพลังงาน โดยปัจจัยระยะสั้น ได้แก่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitic) ความผันผวนทางเศรษฐกิจและแรงกดดันจากเงินเฟ้อ นโยบายและกฎระเบียบที่ไม่แน่นอน และการขยายตัวทางดิจิทัล ส่วนปัจจัยระยะยาวได้แก่ การลดคาร์บอนเป็นความท้าทายหลัก การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์( Net Zero),เทคโนโลยีลดคาร์บอน ฯลฯ
ดังนั้นการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดนั้นทิศทางพลังงานจะต้องสมดุลกัน (balance)ใน3 เรื่อง คือ ความมั่นคงพลังงาน ความยั่งยืน และพลังงานมีใช้ในราคาที่เหมาะสม
“ทิศทางวันนี้ มีความไม่แน่นอนสูง สหรัฐฯถอยเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือNet Zero ซึ่งปตท. ได้ติดตามและพูดคุยกับบริษัทพลังงานระดับโลก ทุกคนเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าจะต้องมุ่งสู่ Net Zero แม้ว่าจะขรุขระบ้าง แต่ช้าเร็วก็ต้องทำ ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีการพูดถึงความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ทุกวันนี้ความไม่แน่นอนมีสูงมากทั้งปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ ปตท.ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานและความยั่งยืน ควบคู่กับการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก”
สำหรับการใช้พลังงานของโลกในปี2566-จนถึงปี 2593 มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าการใช้พลังงานหมุนเวียนจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึง 20% เนื่องจากยังมีข้อจำกัดเรื่องเสถียรภาพและราคา ดังนั้นก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สะอาด จึงมีความสำคัญอยู่โดยมีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้นจาก 24%ในปี 2566 เป็น 26% ปี 2593 ส่วนน้ำมันมีการใช้ลดลงจาก 31% เหลือ 28% แต่ถ่านหินการใช้ลดงจาก 25% เหลือเพียง 13%
โดยไทยและในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เห็นพ้องตรงกันว่าใน 20-30 ปีข้างหน้า ก๊าซฯจะยังเป็นเชื้อเพลิงหลักของโลก ซึ่งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถผลิตก๊าซฯได้เองไม่ว่าจะเป็นไทย ,เมียนมาร์ ,มาเลเซีย ,อินโดนีเซีย ซึ่งตอบโจทย์ความมั่นคงทางพลังงาน แต่ไทยแม้ว่าจะผลิตก๊าซฯเอง แต่ไม่เพียงพอใช้ในประเทศจึงต้องใช้รูปแบบของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG ) ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางพลังงานโลก ฉะนั้นความมั่นคงทางพลังงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเน้นการใช้ก๊าซฯเป็นพลังงานหลักควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก
ส่วนแนวทางการลดการปล่อยคาร์บอนมีทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน,การใช้พลังงานสะอาด, ,การปลูกป่า และการใช้กฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ รวมถึงการดักจับและการจัดเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage :CCS)
โดยใน 5 ปีข้างหน้า คาดว่าโครงการCCS จะเพิ่มขึ้น 500 โครงการ ปัจจุบันในสหรัฐฯมีโครงการCCSมากถึง 100โครง รวมถึงการพัฒนาไฮโดรเจน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดแต่มีต้นทุนสูงอยู่ แต่อนาคตเมื่อต้นทุนไฮโดรเจนถูกลงจะมีการนำมาใช้มากขึ้นทั้งในโรงงานอุตสาหกรรมและผสมในเชื้อเพลิงก๊าซฯในโรงไฟฟ้า
สำหรับทิศทางพลังงานไทย ยังมีทั้งโอกาสและความท้าทาย ขณะที่นโยบายภาครัฐ คือ กระทรวงพลังงาน ก็วางทิศทางส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลาเนื่องจากยังมีข้อจำกัดทั้งความเสถียรในการผลิต และต้นทุนราคาค่าไฟสูงจึงสะท้อนผ่านไปยังอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น แต่การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นของไทยเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้น ก๊าซฯ จึงยังมีบทบาทสำคัญและมีสัดส่วนการใช้ไม่ได้ลดลงในระยะยาว โดยไทยมีการผลิตก๊าซฯในอ่าวไทยคิดเป็นสัดส่วน 50%ของการใช้ นำเข้าจากเมียนมา 15% และนำเข้าLNG ถึง 30% ดังนั้น ภาครัฐควรเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจากแหล่งในประเทศเพิ่มขึ้น เพราะมีราคาถูก และช่วยลดความเสี่ยงจากการนำเข้าLNG ในช่วงที่เกิดสงครามจากต่างประเทศที่มีราคาสูง
“เราต้องให้ความสำคัญกับก๊าซฯ เพราะเป็นเชื้อเพลิงที่ไทยผลิตใช้เองส่วนใหญ่ นำเข้าบ้าง ควบคู่ไปกับการลดการเรือนกระจก เพราะถึงจุดหนึ่งการลดการปล่อยคาร์บอนจะถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้า และมีการเก็บภาษี”
ดังนั้น ปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศไทย ควรจะต้องส่งเสริมและเร่งการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแหล่งใหม่ๆ ,ปลดล็อกข้อจำกัดด้านกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับไฮโดรเจน และCCS ,การสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการลดระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization)
ปตท.ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ มีบทบาทสำคัญในฐานะรัฐวิสาหกิจที่ดูแลความมั่นคงทางพลังงาน ส่งภาษีและรายได้ให้กับประเทศ อีกด้านก็เป็น บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีรายได้และกำไรจากธุรกิจในประเทศเพียง 20% ส่วนใหญ่มีการลงทุนและเติบโตในต่างประเทศ เช่น ปตท.สผ.ซึ่งเป็นบริษัทลูก แม้จะมีการลงทุนผ่านธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ในประเทศส่วนหนึ่ง แต่ก็มีการออกไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อทำกำไรและสร้างความมั่นคงทางพลังงานในกับประเทศ
ปัจจุบัน ปตท.มีการดำเนินธุรกิจที่หลักผ่าน E&P ,ธุรกิจก๊าซฯครบวงจรและลงทุนคลังรับ-จ่ายLNG 3 แห่งเพื่อรองรับการนำเข้าLNG ,ธุรกิจเทรดดิ้ง ,ธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ,ธุรกิจค่าปลีกน้ำมัน ,ธุรกิจไฟฟ้า และการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ