อิ๊งค์ โต้ไม่ใช่ศึก 2 ตระกูล เหตุปะทะชายแดนไทยเขมร แฉแค้นหักประโยชน์แก๊งคอลเซ็นเตอร์
วันที่ 26 ก.ค. 2568 เวลา 16.40 น. ที่กระทรวงวัฒนธรรม นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เดินทางประชุมติดตามมาตรการการรับมือ และการช่วยเหลือของกระทรวงวัฒนธรรม ในการร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยจัดการช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา การประชุมเป็นเวลานานเกือบ 2 ชั่วโมง
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นางสาวแพทองธาร เปิดเผยว่า วันนี้มาย้ำและยืนยันแถลงการณ์ของรัฐบาล ที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้แถลงไปเมื่อวานนี้ในเรื่องการกระทำของกัมพูชา โดยขอย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง ซึ่งวิธีการต่างๆก็ขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศและขัดต่อหลักมนุษยธรรมที่ประเทศไทยเราได้ปฏิบัติมาตลอด ทางกัมพูชาก็ขัดในเรื่องนี้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ความรุนแรงก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลเน้นย้ำตลอด ว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของพี่น้องประชาชน อันนี้เป็นสิ่งที่เรายึดถือและพยายามถึงที่สุดให้ไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ จนกระทั่งฝ่ายกัมพูชาได้มีการยิงก่อนตั้งแต่ในวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก็มีสำนักข่าวต่างประเทศหลายช่อง ได้มีข้อสังเกตว่าจริงๆแล้วเรามีหลักฐาน และ Digital Footprint ต่างๆ ที่สามารถรู้ได้ว่าใครเริ่มก่อน-หลัง และมีข้อสังเกตที่สื่อต่างชาติมองว่า วันนั้น (วันที่มีการโจมตี) นักเรียน ของเราตามจังหวัดชายแดนยังไปโรงเรียนปกติ แต่ของกัมพูชาไม่ได้ไป มีการสั่งให้หยุด ซึ่งอันนี้ก็ต้องดูข้อมูลเพิ่มเติมว่าจริงหรือไม่จริงอย่างไร เพราะส่วนตัวได้ฟังข่าวต่างประเทศมาและมีการตั้งข้อสังเกตว่า ประเทศไทยรู้ว่าจะยิง เราก็คงต้องแจ้ง แต่แปลว่าทางกัมพูชารู้หรือไม่ ว่ามีการยิงแบบนี้เกิดขึ้น เด็กนักเรียนถึงหยุดเรียนกัน ซึ่งอันนี้ก็ถือเป็นข้อสังเกตอีกข้อหนึ่ง
โดยนางสาวแพทองธารระบุว่าแม้ตอนนี้เองตนจะปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้ แต่ก็ได้รับฟังการอัปเดตต่างๆอย่างใกล้ชิด และความเป็นห่วงมีเหมือนเดิม และพยายามจะติดตามสถานการณ์รวมทัังล่าสุดได้มีการอัปเดตสถานการณ์กับพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งทางรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้เน้นย้ำ เรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ของไทยว่าเรามีพร้อมไม่ต้องเป็นห่วง การที่มีการใช้ F-16 ก็ถือเป็นสิ่งที่เราตอบโต้เพราะทางกัมพูชามีการยิงเข้ามาถึงแหล่งชุมชน ที่มีทั้งลูกเด็กเล็กแดง และเกิดผลกระทบต่อชีวิตจริงๆ อันนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่ว่าจะอย่างไรทุกกลไก ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปหลังจากนี้ ทางรัฐบาล กองทัพ และฝ่ายความมั่นคง ก็ประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง และดูเรื่องนี้อย่างรอบคอบทุกขั้นตอน
เมื่อถามว่าเหตุการณ์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อ ตนก็ขอให้ทางหน้าได้ดูต่อไป แต่แน่นอนว่าเราพยายามให้ถึงที่สุดในการปกป้องธิปไตยของเราเพราะเราไม่เคยเริ่มก่อนและเรายืนยันมาเสมอตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาว่าเราไม่ต้องการความรุนแรง แต่เมื่อความรุนแรงมาถึงเราเองต้องสู้ไม่ถอย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลและกองทัพได้มีการคุยกัน และเน้นย้ำว่าไม่ต้องห่วงในสิ่งนี้เราไม่ถอย เราสู้เต็มที่
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังได้แสดงหลักฐานความไม่ชอบธรรมของทางกัมพูชา ทั้งการละเมิดในเรื่องของสนธิสัญญา หลักกฏหมายระหว่างประเทศ หลักสิทธิมนุษยชน และความไร้มนุษยธรรมอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบวางระเบิด โดยก่อนหน้าที่มีปัญหาทั้งทหารไทยและกัมพูชาได้มีการลาดตระเวนหาระเบิดเก่า
แต่เมื่อมีปัญหาก็หยุดไป แต่ก็ยังมีเหตุการณ์ที่ทหารของเราได้รับบาดเจ็บ ซึ่งได้มีการตรวจสอบว่าเป็นระเบิดที่วางใหม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผิดหลักมนุษยชนและกฎระหว่างประเทศอย่างยิ่ง ซึ่งไม่มีประเทศไหนเขาทำกันแบบนี้ ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานครบถ้วน ทางกระทรวงการต่างประเทศก็ได้บอกให้ทั่วโลกรับทราบ และมีการยืนยันจากสื่อหลายๆ ประเทศว่าเขาเชื่อในสิ่งที่เราพูด
โดยที่ผ่านมาประเทศไทยก็พูดความจริงเรื่องนี้มาโดยตลอด และยืนยันจุดยืนมาตลอดว่าเราไม่อยากให้เกิดความรุนแรงเป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ ว่าความรุนแรงนี้เริ่มโดยกัมพูชา 100%
นอกจากนี้ นางสาวแพทองธารยังกล่าวอีกว่า สถานการณ์นี้ขอสนับสนุนให้คนไทยเกิดความสามัคคีในชาติ วันนี้เราทะเลาะกันในประเทศถึงระดับหนึ่ง แต่เราต้องรักกันทะเลาะกันกับคนนอกประเทศก่อน ถ้าเหตุการณ์นี้สงบสุขเมื่อไหร่ ก็ยังรอได้ ความขัดแย้งในประเทศยังรอได้ แต่วันนี้รอไม่ได้แล้วที่เราจะต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ทุกภาคส่วนให้กำลังใจซึ่งกันและกัน นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งว่า “คนไทยรักคนไทยด้วยกันเป็นอย่างมาก“
นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ในส่วนคำครหามากมาย ที่วิถีทางการเมืองพยายามใช้การปลุกปั่น เพื่อให้เกิดความเกลียดชัง มีการเชื่อมโยงว่าสองตระกูลทะเลาะกัน แต่จำกันได้หรือไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนที่แล้ว ตนได้มีการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง โดยได้สั่งการผ่านกระทรวงมหาดไทย ให้ตัดน้ำ ตัดไฟตั้งแต่ชายแดน ลาวกับพม่า และทำให้ได้ผลจริงๆ คอลเซ็นเตอร์ที่โทรหาประชาชนลดลงอย่างเห็นได้ชัด และมูลค่าความเสียหายที่ประเมินตัวเลขได้เยอะมาก ประชาชนที่ถูกหลอก จนต้องจบชีวิตตัวเอง หรือเงินหายไปจากบัญชีอย่างรวดเร็ว ซึ่งประเทศไทย ลาวและพม่าได้ทำภาคีร่วมกัน เพื่อจะปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง ซึ่งตนก็เกิดความสับสน เพราะตอนนั้นก็ยังติดต่อกับทางกัมพูชาในเรื่องสัมพันธ์ส่วนตัว และได้รับแจ้งจากคนที่แปลว่า เขาโกรธ ที่ไม่ปรึกษาเรื่องนี้กับทางกัมพูชา ตนจึงโทรไปคุยส่วนตัวซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ถูกอัดเสียง ตนไม่ทราบว่าเป็นการเสียผลประโยชน์หรือไม่ เพราะเรื่องแก้ปัญหายาเสพติดและปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมออนไลน์เป็นหน้าที่รัฐบาลอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อได้คุยกันแล้วก็ทราบว่า กัมพูชาไม่พอใจที่ไม่เชิญไปร่วมด้วย ตนก็เลยตอบกลับไปว่าจะบวกกัมพูชาร่วมไปด้วย แต่ทางกัมพูชากลับบอกว่าไม่ต้องบวก ให้มาทำกันแค่ 2 ประเทศพอ(ไทยกับกัมพูชา) ตนจึงให้ดำเนินการนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
ดังนั้นเมื่อพอกลับมานึกย้อน ก็รู้ว่าเป็นการแสดงความไม่พอใจตั้งแต่ตอนนั้น แต่ก็ไม่คิดว่าความไม่พอใจนี้ เป็นความไม่พอใจในการปราบ แก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ เพราะตนไม่เคยทราบเลยว่าจะมีประเทศใดไม่พอใจ เมื่อประชาชนถูกหลอกและเอารัฐบาลมาช่วย ก็เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ จึงทำให้รู้สึกว่าเราคงไปขัดผลประโยชน์บางอย่าง หรือไม่ จึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตนก็ไม่แน่ใจ ซึ่งตนก็มั่นใจว่า รัฐบาลที่เข้ามาไม่ว่าจะใช้ตระกูลชินวัตรหรือไม่ ก็ต้องปราบเรื่องนี้เพราะเป็นผลกระทบต่อคนไทย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปราบเช่นเดียวกับยาเสพติด ไม่ทำก็ไม่ได้