แนะรัฐ-เอกชน จับมือพัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพ พาไทยขึ้นผู้นำ “Health Tech”
นพ. ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ กรรมการบริหาร บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เปิดเผยในงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges ในหัวข้อ เทคโนโลยีและการแพทย์ขั้นสูง: S-Curve ใหม่อุตสาหกรรมสุขภาพไทย จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า จุดแข็งของอุตสาหกรรมสุขภาพของไทยคือ บุคลากรทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่มีความรู้ความสามารถในระดับผู้เชี่ยวชาญในด้านการรักษาพยาบาล และยังโดดเด่น ด้าน ความเอื้ออารีต่อผู้ป่วย การดูแลเอาใจใส่ ที่ถือว่าเป็นจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายของการรักษาทางการแพทย์ของโลกก็ว่าได้
“ BDMS ต้องการยกระดับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพของไทย แต่ปัญหาในปัจจุบันก็คือ เรามีบุคลากรที่มีคุณภาพ แต่เราต้องนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์และยารักษาโรค วัคซีนต่างๆ จากต่างประเทศ นั่นทำให้ค่ารักษาพยาบาลมีราคาสูง ดังนั้นถ้าเราอยากเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของคนไทย เราต้องหาวิธีที่จะผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ภายในประเทศไทยเอง เมื่อเราสามารถทำให้ค่ารักษาพยาบาลถูกลงได้ นี่จะเป็นจุดแข็งที่จะทำให้อุตสาหกรรมด้านสุขภาพของไทยเข้าสู่ S-Curve ใหม่ ซึ่งต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่จะทำให้สำเร็จได้”
นพ.ก้องเกียรติ กล่าวต่อว่า การจะลงทุนให้ความร่วมมือกับนักวิจัยหรือสถาบันวิจัยหรือบริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีด้านสุขภาพ ต้องดูที่โอกาสการลงทุนและความเป็นไปได้ในตลาด สิ่งที่จะทำให้นักลงทุนเอกชนเข้ามาลงทุนได้ก็จำเป็นต้องมีผลตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งมองว่าประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนมีศักยภาพเพียงพอต่อการลงทุนในด้านนี้
“ประชากร 100 ล้านคนในภูมิภาคก็เพียงพอที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ ถือว่าตลาดผู้บริโภคใหญ่พอที่จะคุ้มค่ากับการลงทุน จุดเด่นอีกอย่างของประเทศไทยคือ นอกจากบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูงแล้ว เรายังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ที่สามารถตอบสนองนโยบาลของรัฐบาลได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีงานวิจัยว่าการตรวจมะเร็งเต้านม สามารถตรวจได้ด้วยการทดสอบยีนส์ ภายในเวลาไม่กี่เดือน ผู้ป่วยในระบบประกันสุขภาพทั่วหน้าก็สามารถรับการตรวจได้ แสดงให้เห็นศักยภาพของไทยในมุมมองใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการด้านสุขภาพมากยิ่งขึ้น”
ด้าน ศ.นพ. สิทธิ์ สาธรสุเมธี รองคณบดีฝ่ายวิจัยเเละนวัตกรรม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าว ในฐานะที่เป็นนักวิจัยและผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาค้นคว้าด้านเทคโนโลยีสุขภาพ ว่า รพ.ศิริราช พร้อมที่จะก้าวไปสู่การเป็นสถาบันวิจัยที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 1 ใน100 อันดับแรกของโลกภายใน 5-10ปีต่ อจากนี้ โดยจะเน้นการวิจัย และพัฒนาเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทางด้าน AI เทคโนโลยีการแพทย์ดิจิทัล พัฒนาและวิจัยด้านสเต็มเซลล์และความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคด้วยจีโนมิกส์
“ รพ.ศิริราช ที่มีการนำปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาใช้ เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะมีการนำระบบการวินิจฉัยด้วย AI นี้ไปยังโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ รวมถึงการทำระเบียนประวัติคนไข้โดยใช้ AI ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีข้อมูลและประวัติการรักษากับตัวสะดวกต่อการไปรักษาได้ทุกสถานพยาบาล และ อีกหนึ่งนวัตกรรมที่ทางศิริราชทำสำเร็จแล้วคือ Mobile Stroke Unit เป็นรถพยาบาลที่รักษาโรคหลอดเลือดสมองเคลื่อนที่ โดยในรถจะมีอุปกรณ์ซีทีสแกน ที่สามารถส่งรูปภาพและข้อมูลไปยังศัลยแพทย์ที่เตรียมการผ่าตัดรักษาได้ทันทีเมื่อผู้ป่วยเดินทางถึงโรงพยาบาล รถเคลื่อนที่นี้สามารถลดเวลาในการรักษาได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มอัตราการให้ยาสลายลิ่มเลือดหรือการเปิดหลอดเลือดด้วยสายสวนมากขึ้น 3 เท่า และเพิ่มจำนวนผู้ป่วยที่ฟื้นตัวจากความพิการได้ถึง 2 เท่า”
นอกจากนี้ยังมีโครงการวิจัยด้านจีโนมิกส์ของศิริราชที่เน้นไปที่การวิจัย CAR-T Cell สำหรับการตรวจและรักษาโรคมะเร็ง โดยยกตัวอย่างว่า การรักษามะเร็งเม็ดเลือดต้องใช้เงินสูงถึง 15-16 ล้านบาทต่อคนต่อเคส ซึ่งหากทางศิริราชสามารถวิจัยและพัฒนาเครื่องมือที่ผลิตได้เอง ก็จะสามารถลดค่ารักษาลงไปได้เป็นจำนวนมาก
สิ่งที่ประเทศไทยต้องการในขณะนี้คือ National Health Sandbox และการสนับสนุนจากภาครัฐในการลดความยุ่งยากและความซับซ้อนในการขอจดสิทธิบัตรสำหรับนักวิจัยและกลุ่มบริษัท สตาร์ทอัพที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาในอุตสาหกรรมด้านสุขภาพให้ทันสมัย เทียบได้กับเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
นพ. ศุภชัย ปาจริยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อร่วมตั้ง สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร (RISE) กล่าวว่า สถาบันฯ มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการให้บริการทางสุขภาพอย่างมาก ซึ่งจะเห็นได้จากการที่เรามีโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก JCI จำนวนหลายโรงพยาบาล และยังมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญในหลากหลายแขนงอีกด้วย แต่การนำการศึกษาวิจัยทางการแพทย์มาทำให้เป็นแผนธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสำหรับบริษัทต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในไทย นอกจากจะต้องมีหุ้นส่วนทางธุรกิจที่เข้าใจผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมแล้ว ขั้นตอนการขอใบอนุญาตและเอกสารทางราชการต่างๆ ในประเทศไทยเป็นขั้นตอนที่ใข้เวลานานและยุ่งยาก ในขณะเดียวกันสำหรับบริษัทไทยที่จะเดินหน้าไปสู่ต่างประเทศก็ประสบปัญหาขาดแคลนทุนและการสนับสนุนจากรัฐบาล
“รัฐบาลหรือผู้ลงทุนในไทยจะมีการสนับสนุนบริษัทที่ศึกษาวิจัยทางการแพทย์ประมาณ 100,000 - 150,000 เหรียญสหรัฐต่อปี แต่บริษัทเหล่านี้ต้องการเงินสนับสนุนมากถึง 500,000 - 1,000,000 เหรียญสหรัฐต่อปีจึงจะสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแม้ว่าจะได้รับเงินสนับสนุน ขั้นตอนการขอใบอนุญาตต่างๆ เช่น อย. อาจใช้เวลานานเป็นปี ซึ่งหากจะแก้ปัญหานี้ได้ รัฐบาลจะต้องสร้างทางลัดและระบบนิเวศที่เหมาะสมให้กับบริษัทเหล่านี้”
ประเด็นที่น่าสนใจคือการสร้าง healthcare sandbox ในประเทศไทยเพื่อดึงดูดบริษัทศึกษาวิจัยทางการแพทย์ และบริษัทยาทั้งในไทยและต่างประเทศให้ได้มาทำงานร่วมกัน และเพื่อให้บริษัทต่างประเทศถ่ายทอดความรู้และแนวทางในการขอใบอนุญาตต่างๆ ให้กับบริษัทในไทย ซึ่งในปัจจุบันไทยมีบริษัทวิจัยและพัฒนาทางการแพทย์จำนวนมาก แต่ผลิตภัณฑ์หลักคือ ถุงมือยาง ดังนั้น การพัฒนาบริษัทเหล่านี้ให้มีความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีนวัตกรรมมากขึ้น เป็นสิ่งจำเป็นและจะสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว
นพ. ศุภชัย ได้ยกตัวอย่างบริษัท Qvin ในสหรัฐที่สร้างนวัตกรรมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และการตรวจเลือดผู้หญิงผ่านแผ่นตรวจอัจฉริยะในผ้าอนามัย และเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันเพื่อให้ส่งผลการตรวจให้กับผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว นวัตกรรมเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องการ