รวบหนุ่มอาเซอร์ไบจาน ลวงสาวไทยผ่านแอปหาคู่ ก่อนก่อเหตุขืนใจ
วันที่ 27 ส.ค.68 ที่ สตม.พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. เปิดเผยว่าได้มอบนโยบายเน้นหนัก กำชับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.ในสังกัด เกี่ยวกับการปราบปรามคนต่างด้าวที่กระทำความผิดกฎหมายอาญาในทุกรูปแบบอาชญากรรม ซึ่งถือเป็นอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงของ สตม. โดยได้สั่งการมอบหมายให้ พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. รวมไปถึง พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 ซึ่งรับผิดชอบงานตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและมีคนต่างชาติพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
สำหรับพฤติการณ์ที่เป็นที่มาของการจับกุมในครั้งนี้ถูกเปิดเผยขึ้นหลังจากเมื่อช่วงต้นเดือน ก.ค.2568 ที่ผ่านมา มีผู้เสียหายเป็นหญิงสาวไทยคือนางสาวบี (นามสมมติ) อายุ 25 ปี ได้ติดต่อพูดคุยกับนายยูเซฟ (นามสมมติ) อายุ 31 ปี สัญชาติอาเซอร์ไบจาน แต่มักจะอ้างตนว่าเป็นชาวอิตาลี โดยติดต่อผ่านแอพหาคู่ชื่อดังในหมู่หญิงสาวไทยที่มีรสนิยมชื่นชอบชาวต่างชาติ จนได้มีการนัดพบปะพูดคุยและรับประทานอาหารกันที่บ้านพักของผู้เสียหายในย่านดินแดง แต่ระหว่างที่อยู่ด้วยกัน ผู้เสียหายอ้างว่า นายยูเซฟ รู้สึกหึงหวงและไม่พอใจที่พบว่าตนยังมีการพูดคุย กับชายชาวต่างชาติคนอื่นๆ ผ่านแอพดังกล่าวอีกด้วย จึงได้ใช้กำลังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ก่อนที่จะหลบหนีไป
ต่อมาพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับชื่อ และตำหนิรูปพรรณ รวมถึงผลการตรวจร่างกายผู้เสียหาย จนสามารถระบุตัวตนผู้ต้องหาได้แน่ชัด และเนื่องจากผู้ต้องหาเป็นชาวต่างชาติที่มิได้มีที่พักที่แน่ชัด จึงได้ขออนุมัติหมายจับศาลอาญา ให้จับกุมตัวนายยูเซฟ ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยผู้อื่นนั้นอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้”
ต่อมาในช่วงกลางเดือน ส.ค.2568 เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง สังกัด กก.สืบสวน บก.ตม.1 นำโดย พ.ต.อ.พลสิทธิ์ สุทธิอาจ ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 พร้อมกำลังชุดสืบสวนนำโดย พ.ต.ท.สุริยะ พ่วงสมบัติ รอง ผกก.ฯ และ พ.ต.ท.ธงไทย ไพเราะ สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1 ลงพื้นที่สืบสวนหลังสืบทราบว่า นายยูเซฟ ได้มาพักอาศัยอยู่บริเวณย่าน ถ.ข้าวสาร โดยได้นำกำลังชุดสืบสวนนอกเครื่องแบบ ลงพื้นที่กดดันอยู่เป็นเวลา 4 วัน จนกระทั่งในวันที่ 25 ส.ค.2568 พลเมืองดีในพื้นที่ ได้เบาะแสสำคัญว่าเคยพบเห็นนายยูเซฟ ผู้ต้องหาตามหมายจับ ในบริเวณใกล้กับศาลเจ้าพ่อเสือ ย่านเสาชิงช้า จึงได้นำกำลังรุดไปเฝ้าตรวจสอบ จนพบชายชาวต่างชาติ ตำหนิรูปพรรณใกล้เคียงกับผู้ต้องหา สะพายกระเป๋าแบคแพคเกอร์ เดินอยู่ริมถนน จึงได้แสดงตัวและบัตรข้าราชการตำรวจให้ดู พร้อมขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง ผลการตรวจสอบทราบชื่อ นายยูเซฟ อายุ 31 ปี สัญชาติอาเซอร์ไบจาน จึงได้แสดงหมายจับของศาลอาญาให้ผู้ต้องหาดู แจ้งว่าจะต้องถูกจับกุมตัวตามหมายจับ พร้อมทั้งแจ้งสิทธิ์ตามกฎหมายของผู้ถูกจับให้รับทราบ อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นผู้ต้องหาปฏิเสธที่จะให้การ และขอให้การในชั้นพนักงานสอบสวนต่อหน้าทนายความ เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมผู้ต้องหาตัวส่ง พนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ท.ภาณุมาศ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันผู้ต้องหาคดีนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หากคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว และผลปรากฏว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิดจริง นอกจากจะต้องรับโทษตามกฎหมายอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสนบาทแล้ว ยังจะต้องถูกขึ้นบัญชี “แบล็คลิสต์” ของ สตม. เนื่องจากเป็นบุคคลต่างด้าวที่เข้าข่ายเป็นบุคคลต้องห้าม เนื่องจากเคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาของศาล ทั้งนี้ผลสัมฤทธิ์ของการจับกุมในคดีดังกล่าวเป็นผลโดยตรงจากความร่วมมือกันเป็นหูเป็นตาของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ที่ให้ความร่วมมือให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนอย่างดียิ่ง ฝากประชาสัมพันธ์หากพี่น้องประชาชน หรือผู้สื่อข่าว มีเบาะแส หรือพบการกระทำที่เป็นความผิดในลักษณะดังกล่าว กรุณาแจ้งสายด่วน สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบทันทีที่หมายเลข 1178