อดีตนักแสดงดัง ‘กลิ้งไว้ก่อนฯ’ โร่ร้องสื่อ! ครอบครัวถูกรุมกระทืบในคอนเสิร์ตหรู “สามี-ลูก” เจ็บสาหัส
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก น.ส.ดิออน มลฤดี คอลี่ย์ อายุ 39 ปี อดีตนักแสดงละครชื่อดังยุค 2000 เรื่อง “กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้” (รุ่นที่ 1) หลังครอบครัวซึ่งประกอบด้วยสามีและลูกสองคน ถูกทำร้ายร่างกายภายในงานคอนเสิร์ต Summer Sonic Bangkok 2025 โซน V.I.P. ที่อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา
เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวัยรุ่นชายสองคนซึ่งมีอาการมึนเมา มีปากเสียงกับครอบครัวนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและทำร้ายเด็กชายวัย 10 ขวบ ลูกชายของผู้ร้องจึงหยิบโทรศัพท์มาบันทึกคลิปเหตุการณ์ แต่กลับถูกกลุ่มวัยรุ่นหันมาทำร้าย ใช้กำปั้นและโทรศัพท์มือถือฟาดเข้าที่ใบหน้า ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่บิดาซึ่งเข้ามาห้ามก็ถูกเพื่อนของผู้ก่อเหตุทำร้ายจน สมองกระทบกระเทือน ปากฉีกเย็บ 11 เข็ม และต้องแอดมิทดูอาการที่โรงพยาบาล
แม้ครอบครัวจะนำหลักฐานคลิปเหตุการณ์ไปแจ้งความที่ สภ.ปากเกร็ด แต่ตำรวจกลับดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุเพียงคนเดียว ทั้งที่ในคลิปยืนยันว่ามีผู้ร่วมก่อเหตุสองราย ครอบครัวเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงเข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน
ภาพจากคลิปและกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นชายสองคน อายุประมาณ 25-30 ปี กำลังตะโกนใส่ครอบครัวนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ก่อนจะหันมาทำร้ายลูกชายผู้ร้อง และบิดาที่เข้ามาห้ามปราม แม้การ์ดในงานจะพยายามแยกตัว แต่สถานการณ์ก็ยังบานปลายถึงบริเวณด้านนอกฮอลล์
นายแบรนดอน พันธุ์พงษ์ อาชญาสิทธิวัตร อายุ 19 ปี ลูกชายผู้ร้อง เล่าว่า วันเกิดเหตุครอบครัวตั้งใจไปชมคอนเสิร์ตที่รอคอยมานาน แต่กลับเจอเหตุการณ์สะเทือนใจ ทั้งบิดาบาดเจ็บสาหัส ส่วนตนเองก็มีบาดแผลทางร่างกายและสภาพจิตใจ รู้สึกหวาดกลัวและเกิดอาการแพนิคจนต้องพบจิตแพทย์
ด้าน น.ส.ดิออน มลฤดี ผู้เป็นมารดา เผยว่า ขณะนี้สามียังรักษาตัวที่โรงพยาบาล อาการหนัก ต้องทำ MRI และ CT Scan ส่วนปากเย็บ 11 เข็ม ตาบวมและช้ำ ต้องพักฟื้นอย่างน้อย 15 วัน แต่สิ่งที่กังวลคือความคืบหน้าคดี เนื่องจากตำรวจบันทึกว่ามีผู้ก่อเหตุเพียงรายเดียว ทั้งที่ความจริงมีสองคน และไม่รับคลิปวิดีโอเป็นหลักฐานในชั้นแจ้งความ
ขณะที่ นายศีลธรรม ปัญญาวรชาติ ทนายความผู้ดูแลคดี ระบุว่า ผู้เสียหายหวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะคดีเงียบหายและเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่แจ้งข้อหาที่ชัดเจน จึงเรียกร้องให้ผู้ก่อเหตุทั้งสองคนออกมารับผิดชอบ พร้อมทั้งอยากให้ผู้จัดงานเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก